สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 12 ส.ค. ว่า กระทรวงกลาโหมรัสเซียออกแถลงการณ์ ว่ากองทัพยูเครนปฏิบัติการทางทหาร รุกคืบเข้าไปในภูมิภาคเคิร์สก์ ทางตะวันตกของรัสเซีย เป็นระยะทางไกลถึง 30 กิโลเมตร นับตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว นับว่าไกลที่สุด ตั้งแต่สงครามระหว่างทั้งสองประเทศเปิดฉาก เมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565


ขณะที่ น.ส.มาเรีย ซาคาโรวา โฆษกหญิงกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ประณามกองทัพยูเครน “ข่มขู่คุกคามความสงบ” ของชาวรัสเซียซึ่งอาศัยอยู่ในภูมิภาคเคิร์สก์ และพื้นที่ใกล้เคียง พร้อมทั้งยืนยันว่า กองทัพรัสเซียจะปฏิบัติการตอบโต้อย่างถึงที่สุด เพื่อขับไล่ผู้รุกราน

ทหารยูเครนเคลื่อนพลในภูมิภาคซูมี ทางตะวันออกของประเทศ ซึ่งมีพรมแดนติดกับรัสเซีย


ทั้งนี้ แหล่งข่าวระดับสูงด้านความมั่นคงของยูเครน ยืนยันการเป็นผู้เปิดฉากปฏิบัติการบุกภาคพื้นดินในรัสเซีย “เพื่อทำลายฐานที่มั่นของศัตรู สร้างความเสียหายให้ได้มากที่สุด และทำลายเสถียรภาพของรัสเซีย ซึ่งตอนนี้ยังไม่สามารถปกป้องพรมแดนของตัวเองได้”


ขณะเดียวกัน ปฏิบัติการที่กำลังเกิดขึ้นเป็นการสะท้อนว่า ยูเครนสามารถปฏิบัติการทางทหารเชิงรุกได้เช่นกัน และดูเหมือนรัฐบาลมอสโกมีปัญหากับการเตรียมพร้อมในเชิงรับ แต่กองทัพยูเครนไม่มีเป้าหมายต้องการยึดครองพื้นที่ในรัสเซีย “เนื่องจากปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ” และจำนวนทหารที่ส่งไปปฏิบัติการครั้งนี้ “มากกว่าที่รัสเซียคาดการณ์ไว้”


ด้านประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวว่า รัฐบาลมอสโก “ต้องสัมผัสกับผลกระทบของสงคราม” จากการเป็นฝ่ายรุกรานยูเครนก่อน “ทหารยูเครนกำลังพยายามผลักดันสงครามให้กลับคืนไปยังดินแดนของผู้รุกราน” พร้อมทั้งกล่าวหารัสเซียโจมตีครั้งใหม่ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซาโปริซเซีย


ขณะที่รัสเซียอพยพประชาชนแล้วมากกว่า 76,000 คน ออกจากเมืองหลายแห่งในภูมิภาคเคิร์สก์ เบลโกรอด และเบรียนสก์ ที่อยู่ทางตะวันตกของประเทศ และติดกับพรมแดนของยูเครน

อนึ่ง กองทัพรัสเซียปฏิบัติการภาคพื้นดิน ที่ภูมิภาคคาร์คิฟ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของยูเครน เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา และต่อเนื่องมาถึงภูมิภาคซูมีที่อยู่ใกล้กัน โดยซูมีเป็นภูมิภาคซึ่งยูเครนใช้เป็นฐานเปิดฉากข้ามพรมแดนครั้งนี้ ตามข้อมูลของฝ่ายความมั่นคงรัสเซีย.

เครดิตภาพ : AFP