กรณีสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อม เตรียมฟ้องคดีปกครองและคดีแพ่งกับหน่วยงานของรัฐ และบริษัทเอกชน ที่นำเข้าปลาหมอคางดำ และเกิดการแพร่ระบาด รวมทั้งค่าเสียหายจากการที่ต้องสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติและความหลากหลายทางชีวภาพ ตามหลัก “ผู้ก่อให้เกิดมลพิษเป็นผู้จ่าย” ตามที่ได้รับร้องเรียนจากชาวบ้านใน ต.ยี่สาร ต.แพรกหนามแดง อ.อัมพวา และจังหวัดอื่นที่ได้รับความเสียหายจากการระบาดของปลาหมอคางดำที่พบในแหล่งน้ำธรรมชาติและในพื้นที่บ่อเลี้ยงกุ้ง บ่อเลี้ยงปลาของชาวบ้าน จนต่อมาสภาทนายความฯ จึงแต่งตั้งประธานสภาทนายความจังหวัด รวม 16 จังหวัด เป็นผู้แทนของสภาทนายความฯ และให้คณะทำงานปลาหมอคางดำลงพื้นที่ตั้งโต๊ะรวบรวมเอกสารจากเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนเริ่มที่ จ.สมุทรสงคราม โดยเมื่อวันที่ 2 ส.ค. 67 ที่ ต.แพรกหนามแดง มีผู้ที่ได้รับผลกระทบยื่นเรื่อง 57 ราย ตามที่ได้เสอนข่าวมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

สภาทนายฯ ลุยเก็บเอกสารฟ้องปม ‘ปลาหมอคางดำ’ ทำเสียหาย 16สิงหาฯนี้

คืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 10 ส.ค.2567 ที่ศาลาเอนกประสงค์วัดเขายี่สาร ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ นำโดยนายจรุงศักดิ์ ชะโกฎิ ประธานคณะทำงานปลาหมอคางดำ และคณะได้ลงพื้นที่ตั้งโต๊ะรวบรวมเอกสารจากชาวบ้าน เกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนจากการระบาดของปลาหมอคางดำอีกครั้งมีผู้ที่ได้รับผลกระทบทยอยเดินทางมายื่นเรื่องลงทะเบียนข้อเท็จจริงทั้งในพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและในแหล่งน้ำธรรมชาติ 214 ราย รวมกับครั้งแรกที่ ต.แพรกหนามแดง 57 ราย เป็น 271 ราย

นายนิทรารัตน์ แพทย์วงศ์ ประธานสภาทนายความ จ.สมุทรสงคราม กล่าวว่า จากกรณีดังกล่าวสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ และคณะกรรมการสำนักงานคดีปกครอง จึงกำหนดแนวทางให้ความช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายในสองแนวทาง คือ ดำเนินคดีแพ่งกับผู้ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำในประเทศไทย เรียกค่าเสียหายจากการขาดรายได้ โดยชาวบ้านผู้เสียหายจะต้องมอบอำนาจให้ทางสภาทนายความเป็นโจทก์ผู้ฟ้องร้องดำเนินคดีต่อไป ตามพระราชบัญญัติคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งคาดว่าจะยื่นฟ้องได้ภายในวันที่ 16 ส.ค. 67 นี้ หากได้รับพยานหลักฐานครบสมบูรณ์จากชาวบ้านผู้เสียหายทั้งหมดแล้ว

สำหรับความเป็นไปได้ในการเรียกร้องค่าเสียหายนั้น นายนิทรารัตน์ กล่าวว่า สภาทนายความยินดีจัดหาแต่งตั้งทนายความเรียกร้องให้ ถ้าชาวบ้านมีหลักฐานก็ฟ้องได้ แต่จะได้ค่าชดเชยเต็มจำนวนตามที่เรียกร้องหรือไม่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลตามกฎหมาย แต่เมื่อเรื่องไปสู่ศาล คู่กรณีก็คงต้องแต่งตั้งทนายความ เข้ามาโต้แย้งต่อสู้คดีกัน และศาลจะพิจารณาจากข้อมูลหลักฐาน ขณะนี้จึงมีการรวบรวมเอกสารจากผู้เสียหายว่ามีกี่ราย แต่ละรายมีค่าเสียหายเท่าไหร่ และจะมีการตรวจสอบข้อมูลรายบุคคลต่อไปเพื่อส่งให้สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ดำเนินการตามขั้นตอน

อย่างไรก็ตาม นายนิทรารัตน์ กล่าวว่า ชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจริง จะสามารถเรียกค่าเสียหายได้ แต่ต้องเป็นค่าเสียหายที่มาจากผลกระทบจากปลาหมอคางดำระบาด และต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเสียหายอย่างไร เป็นจำนวนเท่าไหร่ และเสียหายจากปลาหมอคางดำจริงอย่างไร เช่น ผู้ร้องมีหลักฐานการเสียภาษีที่สามารถอ้างอิงถึงรายได้แต่ละปีหรือไม่ การให้ข้อมูลต้องเป็นความจริงและชัดเจน ไม่เช่นนั้นจะมีผลต่อตัวผู้ร้องเอง หากข้อเท็จจริงไม่สามารถพิสูจน์ได้โดยหลักฐานอ้างอิง ดังนั้นชาวบ้านเกษตรกรจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าค่าเสียหายที่เรียกร้องเป็นข้อมูลจริง เช่นพื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำมีกี่ไร่ เลี้ยงอะไรบ้าง แต่ละรอบฤดูกาลผลิตปล่อยสัตว์น้ำไปกี่ตัว เหมาะสมกับเนื้อที่หรือไม่ ใช้เวลาเลี้ยงกี่เดือน ราคาผลผลิตขณะนั้นเท่าไหร่ ราคาต้นทุน ค่าอาหารเท่าไหร่ และหลังจากปลาหมอคางดำระบาดผลผลิตลดไปเท่าไหร่ รายได้ลดลงเท่าไหร่ ซึ่งเกษตรกรได้เก็บใบเสร็จการซื้อขายวัตถุดิบต้นทุนเหล่านี้ไว้ยิ่งดี หรือถ้าไม่มีก็ให้เขียนรายการและจำนวนเงินแล้วลงชื่อรับรองด้วยตนเอง แต่น้ำหนักก็จะเบากว่าที่มีเอกสาร

สำหรับกระบวนการรับเรื่องไปจนถึงศาลพิพากษานั้น นายนิทรารัตน์ กล่าวว่า ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือนหรือ 1 ปีจะทราบผล ส่วนการที่สภาทนายความจะส่งเรื่องต่อศาลปกครอง ฟ้องหน่วยงานของรัฐที่อนุญาตให้นำปลาหมอคางดำเข้ามา กรณีละเลย ละเว้นในการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ซึ่งเป็นการละเมิดทางปกครอง ส่วนการปฏิบัติหน้าที่จะเข้าข่ายทุจริตหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าการออกใบอนุญาตนำเข้ามีเจตนาอย่างไร เพราะการทุจริตหรือประพฤติมิชอบความหมายต่างกัน ทุจริตคือแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองหรือผู้อื่น ส่วนประพฤติมิชอบคือการไม่ปฎิบัติตามระเบียบข้อบังคับตามหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งจะเป็นการพิจารณาโดยศาล ซึ่งหากมีช่องกฎหมายอย่างไรแล้ว ทางสภาทนายความก็เตรียมที่จะฟ้องทางอาญา ส่วนบริษัทที่นำเข้าก็แน่นอนว่าจะดำเนินการฟ้องแพ่งเพื่อเรียกค่าเสียหาย หรืออาจจะฟ้องร่วมกันทั้งรัฐและเอกชนก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการรวบรวมหลักฐานของผู้เดือดร้อนว่ามีน้ำหนักมากพอหรือไม่