หากจะกล่าวว่า ‘ความงามเป็นสิ่งที่มนุษย์ล้วนแสวงหา’ คงไม่เกินจริงนัก อย่างที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบัน ‘ภาพลักษณ์’ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่มนุษย์เราต่างให้คุณค่า ‘ความงาม’ กลายเป็นเป้าหมายที่ใครหลายคนใฝ่ฝัน ไม่ว่าจะในแง่ของวงการบันเทิงหรือการทำงานหน้ากล้อง ที่ความสวยงามเปรียบเสมือนอาวุธในการสร้างชื่อเสียงและดึงดูดความสนใจทางสังคม เช่นเดียวกันกับกลุ่มคนทั่วไปที่ต่างก็หันมาให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว เนื่องจากการดูแลตนเองให้มีภาพลักษณ์ที่ดูดีจึงนับว่ากลายเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน  

‘เวชศาสตร์ความงาม’ ไม่ใช่เรื่องใหม่ ทว่าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่พัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง ผลักดันให้วงการความงามเติบโตไปอย่างก้าวกระโดด นวัตกรรมในการดูแลและปรับปรุงรูปลักษณ์ล้วนถูกออกแบบมาให้ตอบสนองต่อปัญหาของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นการทำหัตถการต่างๆ อย่างการฉีดโบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ เลเซอร์ หรือการทำศัลยกรรม ขั้นตอนการรักษาปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นที่น่าพอใจ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจบริการเวชศาสตร์ความงามที่เพิ่มขึ้นในทุกปี ซึ่งสังเกตได้จากคลินิกและโรงพยาบาลที่เปิดให้บริการด้านเวชศาสตร์ความงามมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังมีความหลากหลายในส่วนของโปรแกรมให้เลือกสรรได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคล

ทว่ากระบวนการกว่าที่จะบรรลุไปยังความงามได้นั้น กลับก่อให้เกิดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมอย่างมหาศาล ‘ขยะทางการแพทย์’ ที่เกิดจากเวชศาสตร์ความงานนั้นมีความหลากหลาย ตั้งแต่เข็มฉีดยาที่ใช้แล้ว ขวดบรรจุสารเคมี เครื่องมือทางการแพทย์ที่ใช้แล้วทิ้ง ไปจนถึงชิ้นส่วนของเนื้อเยื่อที่ถูกตัดออก เหล่านี้ล้วนมีสารเคมีที่และเชื้อโรคที่เป็นอันตราย ซึ่งอาจก่อให้เกิดการแพร่กระจายของโรค และหากไม่ได้รับการจัดการอย่างถูกวิธี ก็จะปนเปื้อนลงสู่ดิน น้ำ และอากาศ ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในระยะยาว ‘ธุรกิจเวชศาสตร์ความงาม’ จึงไม่เพียงแต่ต้องมุ่งเน้นไปยังผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังต้องตระหนักและพยายามหาทางออกของประเด็นปัญหาดังกล่าว ควบคู่ไปพร้อมกับการดำเนินธุรกิจ

ดังที่ ‘เมิร์ซ เอสเธติกส์’ ประเทศไทย (Merz Aesthetics) บริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเวชภัณฑ์สำหรับใช้ในคลินิกเสริมความงามระดับโลก ได้เปิดตัวโครงการ ‘Merz Aesthetics Set Zero Aesthetics Waste’ ขึ้นเป็นครั้งแรก ด้วยแนวคิด ‘Merz Aesthetics WORK for Sustainability’ พร้อมขับเคลื่อนความยั่งยืนในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจัดการขยะที่เกิดจากหัตถการความงาม (Aesthetics Waste) โดยโครงการดังกล่าวได้ผนึกความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์คลินิก และพันธมิตรที่ช่วยผลักดันความยั่งยืน ได้แก่ บริษัท รีไซเคิลเดย์ จำกัด, แบรนด์ควอลี่ และ บริษัท เคอรี่ โลจิสติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งจะมีส่วนร่วมในกระบวนการรับคืนและจัดการขยะที่เกิดจากหัตถการความงาม อาทิ หัว Ultherapy Transducer และกล่องบรรจุภัณฑ์ต่างๆ อย่างถูกวิธี เพื่อดำเนินงานตามเป้าหมายในการลดการฝังกลบขยะสู่พื้นผิวโลกให้เป็นศูนย์ (Zero Waste to Landfill)

โครงการ Merz Aesthetics Set Zero Aesthetics Waste ภายใต้แนวคิด ‘เก็บกลับ ปรับโฉม ส่งคืนคุณ’ คือการรับคืนและจัดการกับขยะที่เกิดจากบรรจุภัณฑ์ด้วยการรีไซเคิล และจัดการกับขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้วหมดไปด้วยการอัปไซเคิล โดยกระบวนการดังกล่าวสอดคล้องกับหลักการลดการฝังกลบขยะสู่พื้นผิวโลกให้เป็นศูนย์ ซึ่ง เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ได้เล็งเห็นปัญหาของขยะที่เกิดจากหัตถการความงาม อาทิ หัว Ultherapy Transducer ที่ใช้แล้ว สามารถนำมาเรียงสูงถึง 3,900 เมตร หรือมีความสูงเทียบเท่ากับหอไอเฟลต่อกัน ถึง 12 ต้น รวมถึงขยะจากบรรจุภัณฑ์ที่หนักรวมมากถึง 18 ตัน และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต ซึ่งขยะสะสมเหล่านี้ควรจะต้องได้รับการกำจัดได้อย่างถูกวิธีเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว จึงเป็นที่มาของโครงการดังกล่าว

ภกญ. ‘กิตติวรรณ รัตนจันทร์’ ผู้บริหารสูงสุดบริษัท เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย และสิงคโปร์ กล่าวว่า แนวคิดของโครงการ Merz Aesthetics Set Zero Aesthetics Waste สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเมิร์ซ เอสเธติกส์ ในการขับเคลื่อนวงการเวชศาสตร์ความงามของประเทศไทยให้ก้าวไปสู่ความยั่งยืน ที่ไม่เพียงแต่เป็นการลดปริมาณขยะที่เกิดจากหัตถการความงามเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการดำเนินธุรกิจที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม ผ่านการดำเนินการจัดการขยะที่เกิดจากหัตถการความงามอย่างถูกต้อง ทั้งการรีไซเคิลและการนำมาพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์ได้

“เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย มีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่โครงการด้านความยั่งยืนของเรา จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง เราเชื่อว่าความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์คลินิกและพันธมิตรของโครงการฯ จะเป็นก้าวสำคัญในการนำพาธุรกิจของเราและประเทศไทยไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว” ภกญ. กิตติวรรณ กล่าว

นอกจากนี้ ยังมีคลินิกสีเขียวที่เข้าร่วมโครงการ Merz Aesthetics Set Zero Aesthetics Waste ในช่วงก่อนเปิดตัวโครงการจำนวน 12 คลินิก ซึ่งทางคลินิกได้ร่วมกันคัดแยกและนำส่งขยะที่เกิดจากหัตถการความงามคืนให้กับเมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย โดยแบ่งเป็นหัว Ultherapy Transducer ที่นำไปผ่านกระบวนการอัพไซเคิลเป็นถังอเนกประสงค์ ‘มานะ’ มาแล้วมากกว่า 1,936 หัว และบรรจุภัณฑ์ต่างๆ ที่ถูกนำไปรีไซเคิล มากกว่า 131 กิโลกรัม ซึ่งเมิร์ซ อีกทั้งยังจัดทำเว็บไซต์สำหรับติดตามผลการดำเนินงานของโครงการฯ โดยล่าสุดในช่วงนำร่องโครงการ จากการดำเนินงานของโครงการดังกล่าวสามารถการลดคาร์บอนฟุตพรินต์ไปแล้วถึง 787 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ และภายในปี 2570 ได้มีการตั้งเป้าที่จะขยายความร่วมมือกับคลินิกคู่ค้าสีเขียวเพิ่มขึ้นถึง 180 แห่ง เพื่อร่วมกันลดคาร์บอนฟุตพรินต์จากขยะที่เกิดจากหัตถการความงามให้ได้เท่ากับ 9,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์

ด้าน ‘ชนัมภ์ ชวนิชย์’ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รีไซเคิลเดย์ จำกัด กล่าวว่า รีไซเคิลเดย์ ในฐานะแพลตฟอร์มช่วยจัดการขยะครบวงจร สำหรับทั้ง B2C และ B2B ในการจัดการขยะผ่านแนวคิดอันสร้างสรรค์ พร้อมมุ่งมั่นที่จะผสานเทคโนโลยีเพื่อให้การรีไซเคิลได้อย่างประสิทธิภาพ เพื่อเราส่งมอบกรีนโซลูชันให้กับภาคครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม โดยการร่วมงานกับ เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ในครั้งนี้ นับว่าเป็นก้าวสำคัญของรีไซเคิลเดย์ที่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันอุตสาหกรรมความงามให้หันมาให้ความสำคัญกับการจัดการขยะทางการแพทย์ ซึ่งจะต้องมีการคัดแยก รีไซเคิล และกำจัดอย่างถูกวิธี และยังเชื่อว่าโครงการฯ จะช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกันเริ่มตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวเพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันก็ยังสามารถสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืนได้ในอนาคต

เช่นเดียวกันกับ ‘ธีรชัย ศุภเมธีกูลวัฒน์’ นักออกแบบและผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์ควอลี ที่ได้กล่าวว่า แนวคิดความยั่งยืนเป็นหลักการสำคัญของควอลีในการพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนไปพร้อมกับการรักษ์โลก ซึ่งเป็นที่มาของถังอเนกประสงค์ อย่าง ‘มานะ’ ที่ผลิตจากหัว Ultherapy Transducer ที่ใช้แล้วจากพาร์ทเนอร์คลินิกต่างๆ ของเมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย นำมาผ่านกระบวนการอัพไซเคิลให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง และยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง การร่วมงานกับ เมิร์ซ เอสเธติกส์ ประเทศไทย ในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ได้เห็นแล้วว่าวงการเวชศาสตร์ความงามได้เริ่มมีการตระหนักถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมในเชิงรุก เนื่องจากที่ผ่านมา การอัพไซเคิลพลาสติกต่างๆ กับพันธมิตรที่ควอลีที่ได้เคยร่วมงานมามักจะเป็นวงการที่สร้างผลกระทบให้กับระบบนิเวศโดยตรงหรือเห็นได้ชัด ซึ่งเป็นจุดสนใจของกลุ่มประชาชนในการตั้งคำถามต่อเรื่องขยะจากอุตสาหกรรมดังกล่าว ทว่ากลุ่มธุรกิจความงามซึ่งอาจไม่ได้ถูกตั้งคำถามต่อประเด็นดังกล่าวมากนัก กลับมีการให้ความสำคัญกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว และยังมองว่าโครงการฯ จะช่วยสร้างแรงกระเพื่อมให้กับอุตสาหกรรมเวชศาสตร์ความงามให้มีความตื่นตัวและหันมาลงมือจัดการกับขยะที่เกิดจากเหล่านี้ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนให้ดำเนินได้ต่อไป