เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ผศ.พญ.วฎาการ วุฒิศิริ สาขาวิชากล้ามเนื้อตาและโรคตาในเด็ก ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า ดวงตาเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย ทำหน้าที่ในการเปลี่ยนแสงให้กลายเป็นคลื่นไฟฟ้าและส่งไปที่สมอง แล้วแปลผลกลายเป็นภาพให้เรามองเห็น ทั้งนี้เรื่องของเชื้อชาติ และเม็ดสีส่งผลห้คนเรามีสีของดวงตาที่แตกต่างกัน โดยในคนเอเชียส่วนใหญ่ขะมีมีผมสีดำ ผิวสีเข้ม ตาสีน้ำตาล ขณะที่ชาวต่างชาติมีสีตาที่สวยงามกว่า เช่น สีเขียว สีฟ้า สีเทา

นอกจากนี้ สีของดวงตายังสามารถบอกถึงโรคละความความเจ็บป่วยของเจ้าของดวงตานั้นได้ เช่น ในคนเอเชียแม้จะมีเม็ดสีเมลานินที่เข้ม แต่ในบางคนอาจพบว่าม่านตามีสีอ่อน กรณีนี้ควรพบจักษุแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง เพราะคนไข้อาจมีโรคบางอย่างซ่อนอยู่ เช่น โรคผิวเผือกที่ส่งผลเฉพาะที่ตา โรควาร์เดนเบิร์กซินโดรม (Waardenburg syndrome) ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้ตามีสีฟ้า หรือโรคที่ทำให้เกิดการอักเสบที่ม่านตาและทำให้เม็ดสีเมลานินที่ดวงตาข้างนั้นลดลงจนเห็นว่าตามีสีอ่อนลงเมื่อเทียบกับสีตาอีกข้าง ขณะที่สีของดวงตาตรงบริเวณตาขาวก็สามารถบ่งชี้ถึงโรคบางอย่างได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ตาสีเหลือง มักพบร่วมกับภาวะตัวเหลืองของผู้ป่วยโรคดีซ่าน หรือคนไข้บางคนที่ตาขาวบริเวณหัวตาและหางตาเป็นออกเหลือง ๆ เนื่องจากการโดนลมและแดดทำให้มีภาวะต้อลมก็จะดูเหมือนกับเป็นโรคดีซ่านได้เช่นกัน

ผศ.พญ.วฎาการ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา สังคมไทยจะมีความเชื่อในเรื่องสีของดวงตาบอกโรคได้ หลักๆ มีอยู่ 4 ความเชื่อ ถ้าถามว่าจริงหรือไม่ก็ต้องแยกเป็นข้อๆ คือ ความเชื่อที่ 1  ตามีสีเหลือง เสี่ยงเป็นโรคตับหรือดีซ่าน จึงถือว่า ความเชื่อนี้เป็นเรื่องจริง  เมื่อมีปัญหาโรคตับและเกิดภาวะดีซ่าน ตับจะไม่สามารถกำจัดสารสีเหลืองที่ชื่อว่า “บิลิรูบิน” ในร่างกายได้ สารนี้จึงกระจายไปทั่วร่างกายอยู่ในกระแสเลือด คนไข้จะมีอาการเหลืองทั้งตัวแต่อาการตาเหลืองเป็นอาการที่สังเกตได้ง่ายกว่าสีผิวของร่างกายเนื่องจากดวงตาบริเวณตาขาวจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองและเห็นได้ชัดเจน

ความเชื่อที่ 2 ตามีสีเขียว เสี่ยงเป็นโรคต้อหินและโรคจอประสาทตา ความเชื่อนี้ไม่จริง แต่คาดเดาว่าต้อหินทำให้ความดันตาสูงขึ้น กระจกตาจึงมักจะบวม ม่านตาเลยขยายทำให้เห็นเลนส์ตาได้ชัดขึ้น เลนส์ตาที่ใสจะมีสีดำ ทำให้มองเข้าไปแล้วอาจดูคล้ายสีเขียว

ความเชื่อที่ 3 ตามีสีขาว เสี่ยงเป็นโรคต้อกระจก ความเชื่อนี้จริง เป็นความจริงบางส่วน โดยปกติคนที่ไม่ได้เป็นต้อจะมีรูม่านตาสีดำเนื่องจากเลนส์ตาที่ใสจะมีสีดำ แต่เมื่อต้อกระจกสุกมาก รูม่านตาจะกลายเป็นสีขาว อย่างไรก็ตามหากต้อกระจกไม่ได้สุกมาก ถึงแม้จะมีต้อกระจกแล้วก็อาจจะไม่เห็นตาเป็นสีขาว

ความเชื่อที่ 4 ตามีสีแดง เสี่ยงเป็นเยื่อบุตาอักเสบความเชื่อนี้จริง คนที่ตามีสีแดงหรือเป็นโรคตาแดง เกิดจากภาวะเยื่อบุตาอักเสบ เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อ อาการภูมิแพ้ หรือการอักเสบภายในลูกตา

ดังนั้น อาการผิดปกติกับดวงตาที่ไม่ควรมองข้าม 1. เห็นภาพซ้อน ตาเข ตาเหล่  อาการนี้อาจเป็นอาการของโรคทางสมองได้ หากหลับตา 1 ข้างแล้วภาพซ้อนหายไปแสดงว่ามีภาวะตาเข ตาเหล่ ซึ่งอาจเกิดจากเส้นประสาทสมองที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อตาผิดปกติไป ได้แก่ เส้นประสาทสมองคู่ที่ 3 คู่ที่ 4 และคู่ที่ 6

2.การมองเห็นลดลงหรือตามัวอย่างเฉียบพลัน เกิดได้จากหลายสาเหตุแต่สาเหตุที่ฉุกเฉินและส่งผลเสียรุนแรงต่อการมองเห็น คือ สาเหตุจากหลอดเลือดแดงที่ตาอุดตันฉับพลัน คนไข้ควรรีบมาพบจักษุแพทย์ภายใน 90 นาที 3. หนังตาตก อาการนี้อาจรบกวนการมองเห็นได้ หากเป็นตั้งแต่เด็กและไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมอาจทำให้เกิดภาวะตาขี้เกียจ ส่วนในผู้สูงวัยส่งผลให้มองเห็นลำบากหรือหนังตาตกอาจเกิดจากความผิดปกติของระบบเส้นประสาทสมองคู่ที่ 3 ผิดปกตินอกจากนี้การมีก้อนเนื้องอกหรือเปลือกตาบวม ก็ส่งผลให้หนังตาตกได้เช่นกัน 4. ตาคล้ำ บางคนมีอาการตาคล้ำโดยที่ไม่ได้เกิดจากการอดนอนแต่ที่ส่งผลให้การไหลเวียนของน้ำเหลืองบริเวณใบหน้าไม่ดีเหมือนเดิม ส่งผลให้ขอบตาดูคล้ำลง

“คำแนะนำในการตรวจดวงตาด้วยตนเองวิธีตรวจดวงตาแบบง่าย ๆ ว่ายังมองเห็นชัดเจนดีทั้งสองข้างหรือไม่คือ การปิดตาสลับกันทีละข้างหลังตื่นนอนในตอนเช้า ส่วนคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ต้องระมัดระวัง หากไม่สะอาด ดูแลไม่ดีเสี่ยงเกิดการติดเชื้อและตาบอดได้ ขอย้ำว่า ดวงตา เป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย จึงการหมั่นสังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับดวงตาและรีบไปพบจักษุแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรับการรักษาที่ถูกต้องจะช่วยให้มีสุขภาพตาที่ดีไปจนถึงวัยสูงอายุ”ผศ.พญ.วฎาการ กล่าว.