เมื่อวันที่ 4 ส.ค. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีนายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุหากศาลรัฐธรรมนูญไม่กล้ายุบพรรคการเมือง หากพรรคการเมืองทำผิดกฎหมาย ทั้งที่กฎหมายให้อำนาจไว้ เพราะกลัวความกดดัน กลัวกระแสสังคมที่เขาสร้างขึ้น หรือกลัวสายตาต่างประเทศ ที่มองมาที่เรา ต่อไปอาจเกิดปรากฏการณ์ ให้พรรคการเมืองหาเสียงแบบไม่รับผิดชอบต่อบ้านเมือง ว่า ในข่าวมีการลงตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาลชัด ต้องถามนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ว่า นั่นเป็นการพูดในนามโฆษกรัฐบาล หรือในนามส่วนตัวของนายคารม สมควรหรือไม่ที่รัฐบาลจะมอบหมายให้รองโฆษกออกมาชี้แจงในลักษณะชี้นำศาลรัฐธรรมนูญอย่างนี้ โดยจะเห็นว่า การแถลงพรรคก้าวไกลแต่ละครั้ง เราเน้นเนื้อหาสาระ ชี้แจงในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อการชี้นำศาล หรือขู่เลย
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า ตัวอย่างคำพูด การชี้นำศาล คือ อาทิ การไปบอกว่า ศาลควรจะต้องตัดสิน หรือมีคำวินิจฉัยอย่างนั้นอย่างนี้ หรือไม่ก็มีพฤติกรรมข่มขู่ศาลว่า ถ้าศาลมีคำวินิจฉัยในลักษณะนั้นลักษณะนี้จะเจออย่างนั้น จะเจออย่างนี้ พรรคก้าวไกลเตือนตัวเองตลอดว่าอย่าทำ ตนคงไม่เรียกร้องจากนายคารม เพราะกระทำการไปแล้วในฐานะรองโฆษกรัฐบาล แต่เรียกร้องหัวหน้ารัฐบาลชี้แจง เพราะมีการระบุชัดว่า ถ้าศาลไม่มีคำวินิจฉัยยุบพรรค จะมีเงื่อนไขใดบ้างตามมา ในฐานะนายกฯ จะรับผิดชอบอย่างไร ถ้านายเศรษฐาไม่ตอบ หมายความว่ามีเจตนามอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ในตำแหน่งรองโฆษกออกมาชี้นำศาลรัฐธรรมนูญ ในนามของรัฐบาลซึ่ง อันตรายมากๆ นายกฯ ให้รองโฆษกมาแถลงในนามของรัฐบาลอย่างนี้ได้หรือ เท่ากับว่ารัฐบาลเห็นด้วยกับการแถลงเช่นนี้ ที่อาจเข้าข่ายว่าเป็นการชี้นำศาล และดูหมิ่นศาลได้หรือ หัวหน้ารัฐบาล จะรับผิดชอบอย่างไร ถ้านายเศรษฐาไม่มีคำตอบเรื่องนี้ก็เท่ากับว่าเห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้ใช่หรือไม่ ถ้านายเศรษฐา ไม่มีมาตรการใดๆ ออกมาอย่างเป็นรูปธรรมก็เท่ากับว่าเห็นดีเห็นงามกับพฤติกรรมอย่างนี้ใช่หรือไม่
นายวิโรจน์ กล่าวถึงประเด็นข่าวลือเรื่องพรรครัฐบาลจ้องดูด สส.งูเห่าพรรคก้าวไกล ว่า มีข่าวกระเส็นกระสายมาเป็นระยะๆ แต่เชื่อ ไม่น่ามี สส.คนไหนย้ายไป เพราะว่าเลือกตั้งปี 2566 สภาพการเมืองเปลี่ยนไปแล้ว ที่นักการเมืองยุคก่อนบอกว่า อย่างไรก็ต้องเอาเงินไปซื้อต้องเอาเงินไปแจก ไม่อย่างนั้นประชาชนไม่เลือก มันไม่เป็นความจริงแล้ว เพราะในยุคปัจจุบันไม่มีเงินมาแจก แต่เอางานไปแลก ประชาชนเห็นคุณค่า ประชาชนเปลี่ยนจากการเป็นแค่ผู้เลือก กลายเป็นผู้สนับสนุน เรียกว่าหัวคะแนนธรรมชาติชาวบ้าน ต้องขอบคุณความตื่นตัวของประชาชนด้วย ที่ทำให้โอกาสในการเปลี่ยนแปลงประเทศนั้นเกิดขึ้น ดังนั้น ตนเลยไม่เชื่อการซื้อขายงูเห่าจะสำเร็จ หรือถ้ามี ก็น้อยมากๆ อย่างไม่มีนัยสำคัญทางการเมือง เชื่อว่าคนที่เป็นงูเห่าจะถูกลงโทษจากประชาชนไม่แตกต่างจากงูเห่ารอบที่แล้ว
“เพราะมีพวกหมาหยอกไก่ โยนหินถามทาง ขายขนมจีบ แต่พวกเราไม่ไป บางคนไปโดนทาบทามตามงานลงพื้นที่ กมธ. ต่างๆ จนเอามาเล่าเป็นเรื่องโจ๊กกัน มาเป็นเรื่องแซวขำๆ เล่าสู่กันฟังในพรรค สส.เรารู้ทัน ตัวอย่างเช่น มีมาชวนไปกินข้าว บอกว่ามีของขวัญ มีขนมมาฝากด้วย สส.เราก็รู้ทัน ถ้าไปคุยก็โดนถ่ายรูปแบล็กเมล์คู่กับถุงขนมสิ คิดว่าโง่รึไง ก็มาเล่ากันแบบสนุกปากมากกว่า ในพรรคไม่มีใครหลงกลหรอก ก็เหมือนเขามาขายขนมจีบพอเจอเบือนหน้าหนีบ่อยๆ อีกฝ่ายเขาก็คงท้อแล้วมั้ง” นายวิโรจน์ กล่าว.