เมื่อวันที่ 4 ส.ค. นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่  7 ส.ค. 2567 คดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยื่นคำร้องให้มีการยุบพรรคก้าวไกลจากกรณีการหาเสียงเรื่องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น ต้องยอมรับว่าไม่เคยมีปรากฏการณ์ที่พรรคการเมืองใดที่กล้าท้าทายสถาบันพระมหากษัตริย์แบบพรรคก้าวไกล เราทราบดีว่าพรรคก้าวไกลมาจากพรรคอนาคตใหม่ก่อนนี้ และมีเพียงพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเท่านั้นที่เคยเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันฯ อีกทั้งเป็นที่รับทราบกันทั่วไปว่าคนของพรรคก้าวไกลทั้งในและนอกสภามีการกระทำที่ทำให้คนอาจเข้าใจว่ามีลักษณะอาจเป็นการบ่อนเซาะ ทำลาย กัดกร่อนสถาบันฯ แบบมีนัยสำคัญ และเป็นขั้นตอน โดยคนของพรรคก้าวไกลในสภาได้ใช้สถานะความเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ พยายามจะแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เพื่อให้สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แม้แต่คนธรรมดาก็ยังมีประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 เป็นกฎหมายป้องกันสิทธิส่วนบุคคล

นายคารม กล่าวอีกว่า ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย สังคมจับตาคนของพรรคก้าวไกลว่ามีการแสดงออกอย่างไร การที่มีการแสดงละครนอกศาลรัฐธรรมนูญในทำนองที่ว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจยุบพรรคการเมือง และถ้าประชาชนไม่เลือกพรรคการเมืองใด พรรคนั้นจะถูกยุบเอง ซึ่งการแสดงละครดังกล่าวหรือการแสดงออกต่อการพิจารณาคดีของศาลแบบนี้ อาจเข้าข่ายละเมิดอำนาจศาลได้ อีกทั้งมี สส.ของบางพรรคการเมืองที่เป็นเครือข่ายของพรรคก้าวไกล ส่งข้อความผ่านไปถึงต่างประเทศ ให้มาจับตาการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรค ว่าไม่เป็นสากล ซึ่งนี่คือการนำองค์กรต่างประเทศมากดดันศาล ซึ่งเป็นเรื่องอันตราย และเป็นการไม่เคารพองค์กรศาล ทั้งที่คนที่เป็น สส.ต้องเข้าใจระบบการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่ามีขอบเขตอำนาจอย่างไร

นายคารม กล่าวอีกว่า ส่วนประเด็นที่ว่าเมื่อมีการยุบพรรคการเมือง สมาชิกพรรคที่ไม่ใช่กรรมการบริหารพรรค สามารถย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ได้ ซึ่งคนของพรรคก้าวไกลทราบดี และตนเชื่อว่ามีการตั้งพรรคไว้รอแล้ว แต่หากศาลรัฐธรรมนูญไม่กล้ายุบพรรคการเมือง เพราะกลัวความกดดัน กลัวกระแสสังคม หรือกลัวสายตาของต่างประเทศ ทั้งที่พรรคการเมืองทำผิดกฎหมาย ในอนาคตอาจเกิดปรากฏการณ์ให้พรรคการเมืองหาเสียงแบบไม่ต้องมีความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองและต่อสังคม หรืออาจมีการหาเสียงแบบให้แบ่งแยกประเทศไทย อาจหาเสียงให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์ อาจหาเสียงแบบให้เด็กไม่ต้องเคารพพ่อแม่ หรือออกนโยบายที่เป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจ สังคม บ้านเมือง แล้วใช้กระแสคนบางกลุ่มมากดดันให้ศาลไม่กล้ายุบพรรค ซึ่งตนเชื่อว่าจะทำให้ประเทศไทยวุ่นวายแน่นอน อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ เป็นวันระพี วันบิดาแห่งกฎหมายไทย ตนมั่นใจการตัดสินของศาลฯ จะมีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายรองรับอย่างมีเหตุผล และเป็นที่ยอมรับของสังคมแน่นอน