นับเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่บนโลกออนไลน์ให้ควาสนใจล้นหลาม เมื่อมีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ได้ออกมาโพสต์ข้อความเล่าประสบการณ์ของการทำธุรกิจ ซึ่งได้ซื้อแฟรนไชส์ลูกชิ้นเจ้าดัง โดยเล่าในกลุ่มพวกเราคือผู้บริโภคระบุไว้ว่า

สวัสดีครับผมขออนุญาตเอาเรื่องของผมมาแชร์เป็นอุทาหรณ์ในกลุ่ม ผมเป็นหนึ่งในผู้เสียหายที่ซื้อแฟรนไชส์ลูกชิ้นชื่อดัง และเคยเป็นกระแสข้อพิพาทดังเมื่อปลายปีที่แล้ว ที่ไปออกรายการถึงเรื่องราวของแฟรนไชส์ลูกชิ้นชื่อดัง

หลาย ๆ คนคงคิดว่าเรื่องนี้จบตั้งแต่ออกรายการแล้ว แต่จริง ๆ มันเพิ่งเริ่มต้นครับ มาเข้าเรื่องกันครับ ผมเคยเป็นแฟรนไชส์ลูกชิ้นชื่อดัง ที่ซื้อมาขายในจังหวัดนนทบุรี ภายใต้ชื่อxxx และก็นั่งอยู่ในรายการวันนั้นด้วยครับ

เรื่องราวของผมถ้าทุกคนได้ดูรายการ จนจบคงทราบกันดีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และผมก็ได้ใช้ขั้นตอนทางกฎหมายในการฟ้องเจ้าของแฟรนไชส์ลูกชิ้นชื่อดังก่อนหน้าที่จะไปออกรายการ เพื่อการเรียกร้องให้เกิดความยุติธรรมกับผม

ศาลนัดแรก เป็นการนัดไกล่เกลี่ย ซึ่งผมก็พร้อมไกล่เกลี่ย แต่วันนั้นจำเลยไม่มาไกล่เกลี่ยในนัดแรกแต่ส่งทนายมา ซึ่งคำตอบที่ได้จากทางฝั่งทนายจำเลยวันนั้นคือ จำเลยบอกว่าไม่ต้องการไกล่เกลี่ยกับผม และมั่นใจว่าตนไม่ผิด และยังไงก็ชนะ เลยจะขอสู้กับผมอย่างเดียว ซึ่งผมก็โอเคดีเลยครับ

ศาลนัดสอง วันสืบพยานที่ศาล ผมมีหลักฐานที่เพิ่มหนักขึ้นมากกว่าเดิมพร้อมพยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ ในขณะเดียวกันอยู่ ๆ ทางทนายจำเลยก็ได้มีการมาขอไกล่เกลี่ยยอมความเอง

ซึ่งวันนั้นผมบอกตรง ๆ ว่าไม่อยากไกล่เกลี่ยแล้ว เพราะผมให้โอกาสในนัดแรกไปแล้ว และจำเลยก็ได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และยังยืนยันมั่นใจมาก ๆ ว่าตนไม่ได้กระทำผิดอะไร

สุดท้ายก็จบกันที่ชั้นประนีประนอมยอมความ ตอนนั้นผมแอบสงสารและเวทนาจำเลย เพราะต้องสู้คดีอีกหลายเจ้า ต้องใช้เงินเพื่อจ้างทนายที่สูงมาก และทั้งทางจำเลยก็ได้ยอมรับต่อศาลว่าตนกระทำผิดกับผมจริง แต่ก็ไม่ได้ยอมรับผิดทั้งหมด

และสิ่งที่ผมอยากได้มากที่สุดหลังจากการประนีประนอมคือ “คำขอโทษ” จากจำเลย ที่รู้สึกผิดจริง ๆ แบบไม่มีอัตตา แต่จำเลยก็เลือกเองและไม่เคยหลุดคำขอโทษผมเลยสักครั้ง ซึ่งถามว่าผมติดใจมั้ย ผมติดใจมาก ๆ ถ้าก่อนหน้านั้นเอ่ยปากขอโทษผมสักคำต่อหน้าผม ผมก็พูดเลยว่าผมเป็นคนใจดีมาก ๆ อาจจะไม่มีการฟ้องเรียกค่าเสียหายหรือฟ้องเรื่องการทำผิดของจำเลยก็ได้

สุดท้ายแล้ว ผมเชื่อว่าสิ่งที่จำเลยจะชดใช้ผมได้ดีที่สุดแทนคำขอโทษคือ “เงิน” และจำเลยก็ได้ตกลงจะชดใช้ให้ผมต่อหน้าศาล โดยจำเลยขอผ่อนชำระต่อเดือน จนกว่าจะครบตามยอดที่ตกลงกัน (ตามรายละเอียดภาพเอกสาร) ซึ่งผมก็ยอมลดจำนวนตัวเลขฟ้องที่สูงก่อนหน้าตามการไกล่เกลี่ยและตามกำลังของจำเลย

โดยจำเลยจะต้องผ่อนชำระให้ผมทุกวันที่ 1 และกำหนดชำระนัดแรกคือวันที่ 1 ส.ค. 67 ซึ่งจนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่ได้รับเงิน และต่อให้โอนมาหลังจากโพสต์นี้ผมก็ไม่ได้รู้สึกดี

กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ ผมไม่ได้ทั้งคำขอโทษและไม่ได้ทั้งเงินที่จำเลยตกลงจะชดใช้ผม สัจจะที่ให้ไว้ก็ทำไม่ได้เสียเอง และดูเหมือนจำเลยจะไม่เกรงต่อกฎหมายใด ๆ ตอนนี้ผมไม่อยากปล่อยให้คนแบบนี้ใช้ชีวิตปกติในสังคมได้เลยครับ ด้วยอัตตา ทัศนคติที่แสดงออกมา อาจเป็นบ่อที่ทำให้เกิดความผิดซ้ำ ๆ ซาก ๆ ขึ้น ส่วนตัวผมพร้อมให้อภัย ถ้าคนสำนึกผิดจริง ๆ แต่เขาไม่พร้อมรับการอภัย ก็อย่างว่าแหละครับ บัวยังมี 4 เหล่า

ผมควรทำยังไงดี ให้ทำใจหรือปล่อยวางก็ยังไงอยู่ เหมือนจะง่ายแต่ก็ไม่ ตอนนี้ผมสู้มาก รวมถึงผู้เสียหายคนอื่น ๆ ก็สู้ด้วยเช่นกัน ยังมีอีกหลายคนที่ยังต้องแบกรับการกระทำแบบนี้ของคน ๆ นี้ มีผู้ที่ฟ้องชนะแต่ก็ไม่ได้รับการชดใช้

ผมขอใช้พื้นที่สื่อนี้ในการเผยแพร่เป็นอุทาหรณ์ถึงพฤติกรรมของคนแบบนี้ เพื่อเรียกร้องให้คน ๆ นี้ออกมารับผิดชอบต่อการกระทำของตนเองที่ทำไว้กับผมและกับผู้อื่นครับ ไม่ว่าจะเป็นการชดใช้ผมตามคำสั่งศาล และขอโทษผม และก็ไม่รู้ว่ากฎหมายหรือกฎแห่งกรรม อะไรจะทำงานเร็วกว่ากัน ก็รอดูกันต่อไปครับ

ป.ล.หากรู้สึกว่าข้อความข้างต้นหมิ่นประมาทคุณ และคุณจะฟ้องผมในข้อความหมิ่นประมาทนี้ ผมขอให้คุณไตร่ตรองให้ดี ๆ เลย ความรู้สึกใช้ในชั้นศาลไม่ได้ และอยากให้คุณรู้ไว้ว่า นี่ไม่ใช่การประจานอย่างแน่นอน แต่เป็นการโพสต์เป็นอุทาหรณ์ และคุณควรเอาเงินที่จะจ้างทนายฟ้องผมหรือฟ้องกลับผู้เสียหายคนอื่น ๆ หลังจากนี้เพื่อมาชดใช้ให้ถูกต้องตามคำสั่งศาลหรือทำอะไรเพื่อสังคมอาจจะดูมีคุณค่ามากกว่านี้ครับ

อย่างไรก็ตาม เมื่อโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ต่างมีชาวเน็ตเข้าไปคอมเมนต์ส่งกำลังใจให้ล้นหลามอีกด้วย…