นายโบ ลินกัม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มแอร์เอเชียเอวิเอชั่น เปิดเผยว่า กลุ่มแอร์เอเชียได้รับมอบเครื่องบินแอร์บัส A321neo ใหม่ล่าสุด 4 ลำ ซึ่งถือเป็นเป้าหมายสำคัญในเส้นทางการเติบโต และช่วยขยายฝูงบินทั้งหมดของสายการบินเป็นจำนวน 221 ลำ ด้วยการเพิ่มเครื่องบิน A321neo ทั้ง 4 ลำนี้ ปัจจุบันกลุ่มแอร์เอเชียมีเครื่องบิน A321neo ที่ปฏิบัติการแล้ว 8 ลำ ให้บริการโดยแอร์เอเชียมาเลเซีย และไทยแอร์เอเชีย ทั้งนี้ เครื่องบิน A321neo ถือเป็นเครื่องบินที่มีลำตัวยาวที่สุดในฝูงบินลำตัวแคบของตระกูล Airbus A320 มีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย และประหยัดเชื้อเพลิง
เครื่องบิน A321neo จะสามารถลงจอดที่สนามบินขนาดเล็ก ให้บริการเมืองรอง และขยายการดำเนินงานด้วยต้นทุนที่ประหยัดขึ้นกว่า 30% เมื่อเทียบกับเครื่องบินลำตัวกว้าง สำหรับเครื่องบินที่รับมอบมาใหม่ทั้ง 4 ลำนี้ จะพร้อมให้บริการทันที โดยมาช่วยให้ความยืดหยุ่นมากขึ้นในเส้นทางบินระยะสั้นถึงกลาง อาทิ กูชิง ตาวา เซินเจิ้น คุนหมิง ภูเก็ต กระบี่ เชียงใหม่ และอื่นๆ
ขณะเดียวกันยังเป็นตัวช่วยสำหรับบริการต่อเที่ยวบิน (Fly-Thru) ที่เป็นส่วนสำคัญต่อการเติบโตของเครือข่ายแอร์เอเชีย โดยเสริมบริการเที่ยวบินตรงที่เชื่อมต่อผู้โดยสารให้ไปยังจุดหมายปลายทางต่างๆ ซึ่งในปีนี้ผู้โดยสารที่ใช้บริการ Fly-Thru ของแอร์เอเชีย เพิ่มขึ้นถึง 18% และคาดว่าตัวเลขนี้ จะเพิ่มขึ้นเป็น 25% ภายในปี 68
นายโบ กล่าวอีกว่า คาดการณ์ว่าฝูงบินของแอร์เอเชียจะมากกว่า 300 ลำ ภายใน 5 ปีข้างหน้า สามารถรองรับผู้โดยสารกว่า 100 ล้านคนต่อปี การเติบโตนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นยุคใหม่ของแอร์เอเชีย ในฐานะผู้ให้บริการสายการบินราคาประหยัดรายแรกของโลก โดยมีเป้าหมายในการเชื่อมโยงอาเซียนกับทั่วโลก ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปี 67 แอร์เอเชียเปิดเส้นทางบินใหม่ 20 เส้นทางทั่วกลุ่ม ให้บริการกว่า 130 จุดหมายปลายทาง และรองรับผู้โดยสารกว่า 31 ล้านคน
อัตราการบรรทุกผู้โดยสารอยู่ที่ 90% แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพ และความยืดหยุ่นที่แข็งแกร่งของสายการบิน ทั้งนี้ กลุ่มแอร์เอเชีย ประกอบด้วย แอร์เอเชียมาเลเซีย, ไทยแอร์เอเชีย, แอร์เอเชียอินโดนีเซีย, แอร์เอเชียฟิลิปปินส์ และแอร์เอเชียกัมพูชา