เข้าเดือน ส.ค. การเมืองร้อนแรงมาก จาก 3 เรื่องคือ ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่ ในคดีกระทำการอันเป็นปฏิปักษ์กับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยฯ จากที่ สส.อนาคตใหม่ 44 คน เคยยื่นขอแก้ไข ป.อาญา ม.112 ซึ่งต้องจับตาผลว่า จะไม่มีการยุบพรรค หรือมีการยุบพรรคและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค ณ ขณะนั้น หากมีการยุบพรรค สส.บัญชีรายชื่อที่ถูกตัดสิทธิ์จะไม่ได้เลื่อนขึ้นมาทดแทน สส.เขตต้องเลือกตั้งใหม่ สส.ที่ไม่ถูกตัดสิทธิ์ต้องหาพรรคอยู่ใหม่ภายใน 30 วัน ซึ่งอาจเป็นตัวแปรทางการเมืองที่ไปหนุนเสริมให้พรรคใดเข้มแข็งขึ้นหรือไม่ ขณะที่แกนนำพรรคก้าวไกลเชื่อว่า “จะไม่มีงูเห่า” เพราะบทเรียนจากการที่ “ประชาชนสั่งสอน”เหล่างูเห่าในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา

เรื่องที่สอง คือ ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดี สว.ชุดก่อน 40 คน ยื่นร้องเรียนนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ กระทำการขัดกับคุณสมบัติของรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน ที่เคยต้องคดีอาญา เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ซึ่งถ้าศาลวินิจฉัยว่าทำผิด นายเศรษฐาต้องพ้นจากตำแหน่งและสภาเลือกนายกฯ ใหม่ โดยแคนดิเดตที่เป็นที่จับตาที่สุดคือนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ขณะที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยยังออกตัวว่า ไม่พร้อม และนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ได้ถูกชูขึ้นมาอย่างชัดเจนนัก

เรื่องที่สาม คือ การที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะพ้นโทษได้ใบบริสุทธิ์ในวันที่ 22 ส.ค.นี้ ทำให้นายทักษิณสามารถเคลื่อนไหวทางการเมืองได้ค่อนข้างเต็มที่ ซึ่งอาจสมัครเข้าพรรคเพื่อไทยเพื่อให้คำปรึกษาและ “เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรค”ตามที่ลูกพรรคบางคนใช้ และจะกลับมาเป็นตัวแปรในเหตุการณ์ทางการเมืองสำคัญ และภารกิจหนึ่งที่สังคมมองว่าจะมีการเคลื่อนไหวอย่างไร คือ พา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ กลับไทย

สำหรับท่าทีของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย เมื่อถูกผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่อาจเป็น“นายกฯสำรอง” เจ้าตัวเพียงแต่หัวเราะแล้วบอกว่า “สมพรปาก แต่พรรคที่มีสมาชิกมากที่สุดก็ต้องเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล” พร้อมย้ำว่า “ทุกวงการมันมีกฎกติกามารยาท ถ้าเราเคารพกฎเสียอย่างมันก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกังวล หากพรรคภูมิใจไทยมาด้วยจำนวน สส. สูงสุดใครก็มาแย่งผมเป็นนายกฯไม่ได้เหมือนกัน”

นายอนุทินยังบอกด้วยว่า แม้ “เสี่ยนิด” นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ จะพ้นจากเก้าอี้ จะยุบพรรคก้าวไกล ก็ไม่มีงูเห่าเข้าพรรคภูมิใจไทยเพื่อมาเติมเสียงสนับสนุนตนเอง เพราะเลี้ยงงูเห่าแล้วไม่มีความสุข แต่ยอมรับว่า หาก “หมออ๋อง”นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่ 1 ถูกตัดสิทธิ์ในฐานะอดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ พรรคภูมิใจไทยก็ต้องขอเก้าอี้รองประธานสภา เพียงแต่ยังไม่ตอบชัดว่า จะให้ “แบต”นายภราดร ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง ทายาทนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล นักการเมืองอาวุโส รับตำแหน่งหรือไม่ บอกแค่ “ขอให้มันเกิดขึ้นก่อน”

ปดิพัทธ์ สันติภาดา

นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จำเลยในคดี ป.อาญา ม.112 ได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา ขอเดินทางออกนอกราชอาณาจักร โดยศาลมีคำสั่งให้นัดไต่สวนคำร้องในวันที่ 30 ก.ค. เเละมีคำสั่งในวันเดียวกัน นายทักษิณ ประสงค์เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปพำนักอยู่ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ) ระหว่างวันที่ 1-16  ส.ค. 67 เพื่อพบแพทย์ซึ่งเคยตรวจรักษาอาการป่วยเกี่ยวกับปอดอักเสบเรื้อรัง ระบบหายใจและหลอดเลือดหัวใจ เอ็นไหล่ขวาฉีกขาด และหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อน ในสถานพยาบาล ที่นครดูไบ ในวันที่ 2 เเละ 8  ส.ค. 67 และนายทักษิณ ยังมีนัดหมายกับบุคคลสำคัญหลายคน เกี่ยวด้วยภารกิจส่วนตัวของจำเลยหลายเรื่อง จำเลยจะเดินทางกลับเข้ามาในราชอาณาจักรก่อนวันนัดตรวจพยานหลักฐานคดี ม.112 ซึ่งศาลนัดไว้ในวันที่ 19 ส.ค.2567 

ศาลเห็นว่า แม้จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานเบิกความยืนยันถึงความจำเป็นที่ต้องเดินทางออกนอกราชอามาจักร โดยมีเอกสารหลักฐานจากแพทย์สนับสนุน และนัดพบบุคคลสำคัญหลายคน แต่อาการป่วยของจำเลยเป็นโรคที่เกิดแก่บุคคลทั่วไป และแพทย์ในประเทศไทยตรวจรักษาเป็นประจำอยู่แล้ว การเดินทางไปพบบุคคลสำคัญของจำเลยเป็นเรื่องส่วนตัวของจำเลย ทั้งไม่มีพยานหลักฐานยืนยันชัดแจ้งถึงความจำเป็นดังกล่าว ประกอบกับช่วงระยะเวลาที่เดินทาง ใกล้กับวันนัดตรวจพยานหลักฐานในชั้นนี้ไม่สมควรอนุญาตให้จำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ศาลยกคำร้อง

การขออนุญาตเดินทางไปนครดูไบของนายทักษิณ เป็นที่สนใจว่า จะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองหรือไม่ โดยเฉพาะช่วงระหว่าง 1-16 ส.ค.นั้น ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินคดีใหญ่ดังที่กล่าวมาข้างต้น โดยเฉพาะวันที่ 14 ส.ค. ซึ่งถ้านายเศรษฐาหลุดเก้าอี้ พรรคเพื่อไทยจะถูกจับจ้องทันทีว่า ส่งใครมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ คนใหม่ นายทักษิณอาจต้องการหลีกเลี่ยงกระแสจับตานี้ และอีกเรื่องหนึ่งที่คนสนใจคือ การไปดูไบเพื่อหาทางพา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ น้องสาวกลับไทยหรือไม่

พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ก็ยังมีปัญหาเรื่องภายใน โดย สส.หลายคนแสดงความอึดอัดการแสดงออกของนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช สมาชิกพรรค พปชร. ที่ออกมาโจมตีรัฐบาลเป็นระยะ จน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรค พปชร. ได้ออกมาเตือนว่า ถ้านายสามารถยังไม่จบ ไม่หยุด จะใช้มติ กก.บห.พรรค ขับไล่ออกไป แต่นายสามารถกลับโพสต์เฟซบุ๊กเย้ยหยันกลับว่า “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคยืนยันไม่มีใครปลดเขาได้ นายสามารถยังไปให้สัมภาษณ์ที่สภาว่า ความไม่พอใจในพรรคเกิดจากเขาไปวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และเผยแพร่ 2 เพลงที่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งไม่ได้ทำอะไรให้พรรคเสียหาย สิ่งที่ทำคือวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลแบบส่วนตัว แม้แต่ สส.เพื่อไทยก็ยังไม่ตอบโต้

“จึงสับสนว่า พปชร.เป็นพรรคลูกไล่หรือพรรคร่วมรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาลไม่ใช่พรรคลูกไล่ หรือพรรคสาขา พรรคของเรามี พล.อ.ประวิตร เป็นแคนดิเดตนายกฯ หากตนต้องการให้ พล.อ.ประวิตร ขึ้นดำรงตำแหน่งนายก ฯ  นั้นผิดหรือไม่ เราจำเป็นต้องถูกขับออกจากพรรคด้วยใช่หรือไม่ ผมเชียร์และสนับสนุนหัวหน้าพรรค แต่กลับถูกให้ออกจากพรรค แต่หากขับไล่ผมออกจากพรรค พปชร.จะมีสมาชิกพรรค 60,000 คน ได้รับความเดือดร้อน ขอเรียกร้องให้ พปชร. ทำหนังสือขอโทษผมเนื่องจากครั้งที่แล้ว ได้ทำให้บุคคลเข้าใจผิดว่าผมเป็นคนไม่ดี”นายสามารถ กล่าว

เป็นที่น่าสนใจขึ้นมาทันทีว่า ชื่อ “สามารถ เจนชัยจิตรวนิช” คือใคร มีอิทธิพลหรืออำนาจต่อรองแค่ไหนในพรรค พปชร.ถึงอ้างหัวหน้าพรรคได้ จี้พรรคขอโทษได้ จะมีอิทธิพลถึงขนาดสร้างเรื่อง “น้ำผึ้งหยดเดียว” เหมือนคราวรัฐบาลก่อนที่มีการทำโพล สส.ใต้ จนทำให้กลุ่ม ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคขอให้พรรคขับออกยกก๊วนได้หรือไม่

กระแสข่าวรัฐบาล “ไม่ไปต่อ” กับ พปชร. อาจทำให้กลุ่มที่อยากไปต่อกับรัฐบาลรีบชิ่งไปเพื่อไทยก็ได้ การเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้ถ้าผลประโยชน์ลงตัว.

“ทีมข่าวการเมือง”