สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ทนายวิฑูรย์ เก่งงาน และครอบครัวของ นายอภิรักษ์ ชัชอานนท์ หรือเสี่ยโป้ จำเลยสำคัญในคดีชักชวนเล่นพนันออนไลน์และฟอกเงิน คดีร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และ พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2550 ได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนถึง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ขอให้สั่งการให้เรือนจำกลางบางขวาง จัดสถานที่คุมขังเสี่ยโป้ แยกออกจากนักโทษเด็ดขาด แยกการแต่งกายไม่ใส่ชุดนักโทษ ไม่ขังรวมกับนักโทษเด็ดขาด แยกการเป็นอยู่การนอน แยกการรับประทานอาหารและแยกการทำกิจกรรม ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 และกฎแมนเดลา (Mandela Rules) ที่ราชอาณาจักรไทย เป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติ และจัดให้เสี่ยโป้ ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา ได้รับการเยี่ยมญาติตามคำสั่งของกระทรวงยุติธรรม ที่ ย.0704.1/6066 รวมถึงขอให้กรมราชทัณฑ์ ย้ายเสี่ยโป้ไปยังเรือนจำกลางคลองเปรม หรือ เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร รวมทั้งขอให้มีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะการสอบถาม ผอ.ฝ่ายควบคุม (ส่วนกลาง) และ ผอ.แดน 10 ของเรือนจำกลางบางขวาง ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าในเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 31 ก.ค. “ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์” ได้รับการเปิดเผยเพิ่มเติมจาก นายยุทธนา นาคเรืองศรี ผบ.เรือนจำกลางบางขวาง ว่า ตนยังคงยืนยันว่าไม่มีเหตุการณ์ที่เพื่อนผู้ต้องขังชายภายในแดน 10 ซึ่งเป็นแดนขังเดียวกับเสี่ยโป้ ได้ก่อเหตุใช้แท่งเหล็กพยายามลอบสังหารเจ้าตัวแน่นอน โดยในวันเกิดเหตุการณ์ตามที่มีการกล่าวอ้าง ข้อเท็จจริง คือ เมื่อช่วงต้นปี 2567 เสี่ยโป้ ที่อยู่ในห้องเฝ้าระวังและมีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพตลอด 24 ชั่วโมง ในแดน 10 และเพื่อนผู้ต้องขังที่ถูกกล่าวหาว่าพยายามลอบฆ่าได้เกิดมีการทะเลาะวิวาทกันภายในแดน แต่ไม่ถึงขั้นทำร้ายร่างกายจนได้รับการบาดเจ็บ เพียงแค่มีปากเสียงต่อล้อต่อว่ากัน และไม่มีเรื่องการใช้ด้ามเหล็กจะแทงกันแต่อย่างใด ตนจึงมีคำสั่งให้ผู้คุมประจำแดนทำการแยกทั้งคู่ออกจากกัน เพื่อป้องกันผลกระทบต่อผู้ต้องขังรายอื่นเเละเรื่องของความปลอดภัยความสงบเรียบร้อย โดยให้เสี่ยโป้ ยังคงอยู่ที่แดน 10 ส่วนคู่กรณีย้ายไปที่แดน 1 (แดนความมั่นคงสูงสุดของเรือนจำกลางบางขวาง) อีกทั้งนับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุช่วงต้นปีล่วงเลยมาจนถึงวันนี้ เสี่ยโป้ ยังคงมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี ไม่ได้มีผู้ต้องขังรายใดมาลอบฆ่าหมายเอาชีวิตแม้แต่น้อย และเรือนจำกลางบางขวางไม่เคยเลือกปฏิบัติไม่ว่าในด้านใด เพราะผู้ต้องขังที่มาอยู่ในเรือนจำกลางบางขวางแต่ละราย ล้วนแต่มีเบื้องหลังอิทธิพลในแง่ใดแง่หนึ่งที่เราต้องยืดหลังให้ตรง และเฝ้าระวังสอดส่อง ไม่ยอมทุบหม้อข้าวตัวเอง
สำหรับบุคลิกของเสี่ยโป้ นั้น นายยุทธนา ระบุว่า บุคลิกลักษณะคล้ายเป็นคนชอบโอ่อ่า หรือโผงผางตรงๆ อาจจะด้วยท่าทาง กิริยา คำพูด ซึ่งพอถูกย้ายตัวมาจากเรือนจำอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรือนจำพิเศษธนบุรี เรือนจำกลางคลองเปรม จนปัจจุบันนี้อยู่ที่เรือนจำกลางบางขวาง ก็ล้วนมาจากพฤติกรรมลักษณะนิสัยส่วนตัวที่มักมีการทะเลาะวิวาทกับผู้ต้องขังรายอื่น อาจเป็นเหตุให้ผู้ต้องขังรายอื่นรู้สึกในทางลบได้ แต่ไม่ถึงกับฆ่าแกงกัน แค่มีปากเสียงเท่านั้น
ส่วนประเด็นที่ทนายวิฑูรย์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า เสี่ยโป้ เคยมีการไอเป็นเลือดในระหว่างที่คุมขังอยู่ในเรือนจำกลางบางขวาง และไม่ได้รับการรักษาพยาบาลตามขั้นตอนของราชทัณฑ์นั้น นายยุทธนา แจงว่า ข้อเท็จจริง คือ ตนอยากเรียนว่าเรือนจำกลางบางขวางมีนายแพทย์ประจำเรือนจำ ซึ่งแพทย์ได้ตรวจดูร่างกาย ดูเลือดที่เสี่ยโป้ ไอออกมา และประวัติการรักษาพยาบาลทั้งหมดของเจ้าตัว พบว่าการไอที่มีของเหลวสีแดงดังกล่าวไม่ใช่เลือด แต่เป็นเพียงน้ำแตงโม หรือน้ำแดงที่เสี่ยโป้ รับประทานเข้าไป ไม่มีประวัติวัณโรค หรือแผลในกระเพาะอาหาร รวมทั้งตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา ก็ไม่ได้มีภาวะวิกฤติเจ็บป่วยจนต้องเข้ารับการรักษาฉุกเฉินสักครั้ง ซึ่งตนจำเรื่องนี้ได้แม่นยำเพราะบิดาของเสี่ยโป้ เคยมาพบตนและนำเอาประวัติการรักษาพยาบาลเก่าของลูกชายจาก รพ.เอกชนแห่งหนึ่งมาให้ดู เพื่อจะขอให้ช่วยดำเนินการย้ายเสี่ยโป้ ไปคุมขังยังเรือนจำอื่น โดยที่ประวัติการรักษาพยาบาลไม่มีการระบุถึงโรคหรืออาการที่เกี่ยวกับการไอเป็นเลือด มีเพียงอาการหวัด คัดจมูก หูอื้อ จึงมองเหตุการณ์ครั้งนี้ว่าเป็นเหมือนความพยายามสร้างสถานการณ์ ซึ่งตนก็ไม่ได้ย้ายให้ตามความต้องการ หากมีอาการเจ็บป่วย เราก็มีระดับของอาการเจ็บป่วยที่ประเมินโดยแพทย์ และมีโรงพยาบาลเรือนจำกลางบางขวางอยู่แล้ว ต้องยอมรับว่าเรือนจำกลางบางขวาง เป็นเรือนจำความมั่นคงสูงแห่งหนึ่งในประเทศไทย และค่อนข้างเข้มงวด ซึ่งตัวเสี่ยโป้เองก็ยังมีคดีความอีกหลายคดีที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุก แต่ที่สำคัญสุด คือ อาจเป็นความกังวลของเจ้าตัวในกรณีธุรกิจส่วนตัวที่คนข้างนอกอาจจะดำเนินการต่อให้ไม่ได้ จึงอยากย้ายไปอยู่เรือนจำหรือทัณฑสถานที่สามารถติดต่อกับญาติได้ง่ายขึ้น รวมถึงเรือนจำกลางบางขวาง ปัจจุบันควบคุมดูแลผู้ต้องขังกว่า 5,000 ราย จะเปิดให้มีการเยี่ยมญาติสัปดาห์ละไม่เกิน 2 ครั้ง ซึ่งอาจจะไม่เพียงพอในมุมมองของเสี่ยโป้ ทั้งนี้ ตนได้ปฏิบัติตามนโยบายของ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม โดยมีการซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์เพิ่มเติม 3 เครื่อง สำหรับให้ผู้ต้องขังได้เยี่ยมญาติผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (Video Conference) และเดือนหน้าก็จะสั่งซื้อเพิ่มอีก เพื่อให้มียอดรวมทั้งหมด 30 เครื่อง
นายยุทธนา กล่าวว่า กรณีที่ทนายวิฑูรย์กล่าวอ้างถึงเรื่องที่ผู้ต้องขังชายมีการใช้กุญแจของผู้คุมเรือนจำไขเปิดห้องเก็บอุปกรณ์ และนำเอาเหล็กมาจะก่อเหตุแทงเสี่ยโป้ โดยที่จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จเรื่องกุญแจดังกล่าวนั้น ตนขออธิบายว่าปกติแล้วผู้ต้องขังในแดน 10 (แดนควบคุมพิเศษ) จะเป็นผู้ต้องขังที่กระทำผิดวินัยผู้ต้องขังจากแดนอื่น หรือเรือนจำอื่น และจะต้องอยู่ในห้องนอนเป็นเวลามากกว่า 15 ชั่วโมง เป็นแดนที่ไม่มีการฝึกวิชาชีพ ไม่มีอุปกรณ์ หรือเหล็กแหลม ส่วนเวลาที่จะรับประทานอาหาร เราก็ไม่ได้มีการตัดรอนสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องขัง หากต้องการต้มมาม่าทาน ก็ต้องเดินไปกับเจ้าหน้าที่ผู้คุม ซึ่งกุญแจจะอยู่ในห้องของเจ้าหน้าที่ และผู้คุมย่อมมีสัญชาตญาณกันทุกคนว่า ถ้าผู้ต้องขังรายใดก็ตามถูกทำร้ายขณะที่อยู่ในเเดนขัง ย่อมเกิดความเดือดร้อนต่อตนเองได้ และเจ้าหน้าที่จะมีการจู่โจมตรวจค้นแดนขังทุกวัน เพื่อค้นหาอุปกรณ์ดัดแปลงต่างๆ ที่อาจใช้เป็นอาวุธก่อเหตุ และหากเจออุปกรณ์ดัดแปลง เจ้าหน้าที่ผู้คุมก็จะยึดไว้ทั้งหมด ไม่ให้เล็ดลอด
“ทนายความที่เข้ามาพบเสี่ยโป้ ภายในเรือนจำกลางบางขวาง มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 4 ราย สามารถดูประวัติการเยี่ยมทนายได้ และญาติก็ได้เยี่ยมบ่อยครั้งผ่านทางไลน์ หรือการเยี่ยมญาติออนไลน์ผ่านระบบแอปพลิเคชันไลน์“ ผบ.เรือนจำกลางบางขวาง ระบุ
นายยุทธนา กล่าวด้วยว่า เรือนจำกลางบางขวาง มีหน้าที่ควบคุมดูแลผู้ต้องขังเด็ดขาดกว่า 5,000 ราย ซึ่งก็รวมถึงผู้ต้องขังที่อยู่ในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกา แต่อย่างไรก็คือผู้ต้องขังที่ต้องคำพิพากษาของศาลชั้นต้นแล้ว ทั้งนี้ ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ก็มีนโยบายอยากให้เรือนจำและทัณฑสถานทั่วประเทศ ได้แยกผู้ต้องขังเด็ดขาดออกจากผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี ซึ่งเรือนจำกลางบางขวาง ก็มีการแยกออกจากกันของทั้งสองกลุ่ม มีการแบ่งรอบเวลา อย่างเช่นผู้ต้องขังโทษประหารชีวิตที่ถูกคุมขังอยู่ในแดน 2 และแดน 5 เราก็จะไม่มีการให้เยี่ยมญาติในเวลาที่ตรงกับผู้ต้องขังของแดนเดียวกัน แต่เป็นผู้ต้องขังที่ไม่ใช่โทษประหาร เพราะเราไม่อยากให้ผู้ต้องขังเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กลยุทธ์ต่างๆ หรือเป็นเครือข่ายให้กันและกัน.