เมื่อวันที่ 27 ก.ค. เวลา 11.15 น. ที่รัฐสภา ได้มีพิธีการรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานและรองประธานวุฒิสภา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งประธานและรองประธานวุฒิสภา ดังต่อไปนี้ 1. นายมงคล สุระสัจจะ เป็นประธานวุฒิสภา 2. พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ เป็นรองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง และ 3.นายบุญส่ง น้อยโสภณ เป็นรองประธานวุฒิสภา คนที่สอง

นายมงคล​ สุระสัจจะ ให้สัมภาษณ์ว่า ขอยืนยันในปณิธานอันแน่วแน่ ว่าจะปฏิบัติงานเพื่อทดแทนคุณแผ่นดิน รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เพื่อรับใช้ประชาชน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตจนกว่าชีวิตจะหาไม่ และพูดเรื่องที่สังคมสงสัยเกี่ยวกับที่มาที่ไปของ สว. ว่าคงไปห้ามคนคิดไม่ได้ แต่กว่าตัวเองจะเติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ ผ่านชีวิตมีเพื่อนมีพี่มีน้องผ่านอะไรมามากมาย ถ้าไม่รู้จักใครเลยไม่สนิทกับใครเลยก็คงเป็นไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการทำงาน หรือการปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติจะดำเนินการให้เป็นไปตามจริยธรรม และเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้

มงคล​ สุระสัจจะ

บทบาทหนึ่งที่เป็นที่จับตามองของ สว.คือ จะสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะต้องใช้เสียงสองสภา เรื่องนี้ ประธานวุฒิสภาป้ายแดงยังออกตัวว่า “การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังเป็นเรื่องรายละเอียดเรายังพูดไม่ได้ แต่ตามเจตนารมณ์ก็จะยึดมั่นผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน” และยังบอกด้วยว่า ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ระบุว่าเตรียมบททดสอบเพื่อตรวจสอบการทำงานของ สว. นั้น ขอเวลาทำงานก่อน พร้อมยืนยันว่าสามารถทำงานร่วมกันได้ทุกคน ย่างก้าวต่อไปที่คนจับตามอง สว.ชุดนี้คือ จะเป็น สว. “สายสีน้ำเงิน” ตามที่ถูกครหาหรือไม่

ในวันคล้ายวันเกิด นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ มีคำพูด “เหมือนกับว่า” ส่งสารไปยังนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เรื่อง “รัฐบาลมีผลงานแต่ยังปิดงานไม่ได้” และเมื่อดูจากกระแสโจมตีต่างๆ ว่า รัฐบาลนี้ไม่มีผลงานที่ทำสำเร็จเป็นรูปธรรม เพราะคนจับจ้องนโยบายเรือธง คือดิจิทัลวอลเล็ตมาก นายกฯ เสี่ยนิด ได้ประกาศโครงการที่ประสบผลสำเร็จ กระตุ้นการท่องเที่ยว คือการฟรีวีซ่า โดยทวีตข้อความผ่าน X ระบุว่า “นโยบายวีซ่าฟรีเห็นผลแล้ว ปีนี้นักท่องเที่ยวไต้หวัน และอินเดียเดินทางเข้ามาในประเทศไทยทำสถิติสูงสุดเมื่อเทียบจากจำนวนนักท่องเที่ยวหลังโควิด-19 และมีแนวโน้มจะสูงกว่าปี พ.ศ. 2562 ด้วย เพียงครึ่งปี พ.ศ. 2567 เราดึงนักท่องเที่ยวจากตลาดใหญ่อย่างอินเดียได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 30% แล้ว และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านคนภายในสิ้นปีนี้ เรายังเดินหน้าขยายการพำนัก 60 วัน ให้อีก 93 ประเทศ เพื่อเพิ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังใช้จ่ายต่อหัวสูงด้วย ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก็เตรียมกิจกรรมดึงดูดนักท่องเที่ยวจากแต่ละประเทศตลอดทุกเดือนด้วย”

อีกนโยบายหนึ่งของรัฐบาล ซึ่งนายทักษิณมองว่า “ต้องทำต่อ” ตามคำที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข พูดในงานอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ที่ จ.สุโขทัย คือ รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว อดีตนายกฯ ย้ำนายสมศักดิ์ให้ทำต่อให้ดี และ รมว.สาธารณสุขก็พร้อมทำ อย่างจังหวัดสุโขทัย ก็จะเริ่มใช้ได้วันที่ 30 ส.ค.นี้

อีกทั้งนโยบายหนึ่งที่น่าสนใจคือ การออก พ.ร.บ.อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (พ.ร.บ.อสม.) ซึ่งมีเนื้อหาตอนหนึ่งให้ อสม.สามารถนำเงินฌาปนกิจสงเคราะห์ อสม.(ฌกส.อสม.) ออกมาใช้ก่อน ใช้เป็นหลักประกันเงินกู้จากสถาบันการเงิน นายสมศักดิ์จะเชิญธนาคารหลายแห่งมาพูดคุยเกี่ยวกับการช่วยเหลือ อสม. ซึ่งปัจจุบันมี 1 ล้านกว่าคน ถ้ากู้คนละ 2-3 แสนบาท ปีหนึ่งเป็นเงินราว 2-3 แสนล้านบาท

ซึ่งรัฐบาลต้องการให้เงินสะพัดมากขึ้น โดยให้ใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำแค่ 6% หรือหาก อสม.ทำงานดี ลดค่าใช้จ่ายจากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้อีก ก็จะให้หาทางเติมเงินเข้ากองทุน อสม.ด้วย พ.ร.บ.ดังกล่าว ผ่านขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นแล้ว จะเสนอ ครม. และรัฐสภา เพื่อออกเป็นกฎหมายต่อไป

อสม.มีเป็นจำนวนมาก ทำให้กฎหมายฉบับนี้เป็นที่จับตาว่า “สามารถซื้อใจ อสม.ได้หรือไม่” อย่างในขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล ดำรงตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ให้ความสำคัญกับ อสม.เสมอ

ปิดท้ายด้วยวาระที่พรรคก้าวไกลกำลังจะเคลื่อนไหว ในเรื่องการ “ทวงคืนทางด่วน” กรณีดอนเมืองโทลล์เวย์ หรือทางยกระดับอุตราภิมุข นายศุภณัฐ มีนชัยนันทน์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล ระบุว่ารัฐบาลเพื่อไทยเตรียมแก้ไขสัญญาสัมปทานครั้งที่ 4 เพื่อขยายสัมปทานให้กับเอกชนเจ้าเก่าอีกรอบ และที่น่ากลัวกว่าคือรัฐบาลมีแผนที่จะออกสัมปทานตอนใหม่ คือตอนที่สาม รังสิต-บางปะอิน ซึ่งอาจถูกนำไปพ่วงเป็นมูลเหตุขยายสัมปทานครั้งใหม่โดยไม่มีการแข่งขัน สัมปทานควรหมดแล้วหมดเลยแล้วค่อยเปิดให้มีการแข่งขันใหม่อย่างเป็นธรรม จึงขอเรียกร้องให้หยุดขยายสัมปทานเดิม ประเคนสัมปทานใหม่ ทวงคืนทางด่วนให้ประชาชน

สุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ

นายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า สัมปทานคือสัญญา เมื่อหมดสัญญาแล้วก็ควรจบเลย กลับมาเป็นของรัฐแล้วคิดโครงสร้างราคาใหม่ที่สมเหตุสมผลมากขึ้น โดยหากจะให้เอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการต่อก็สามารถทำได้ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการแข่งขันที่โปร่งใสและเป็นธรรม กลางเดือน ส.ค.นี้คือ รัฐบาลมีแผนที่จะนำเรื่องการขยายสัมปทานทางด่วนศรีรัชชั้นที่ 2 (Double Deck) เข้าที่ประชุม ครม. อันจะเป็นอีกครั้งที่เกิดการเอื้อประโยชน์ครั้งใหญ่ให้นายทุน สร้าง Double Deck เพื่อแลกกับการขยายสัมปทานออกไปอีก 22 ปี 5 เดือน ทั้งที่สัญญาสัมปทานปัจจุบันทางด่วนศรีรัชยังเหลืออีกถึง 11 ปี ทำให้สัมปทานลากยาวไปถึง 31 มี.ค. 2601 โดยไม่มีการแข่งขัน

นายสุรเชษฐ์สรุปว่า ปัญหาทางด่วนคล้ายกับปัญหารถไฟฟ้า คือรัฐเอานายทุนผู้รับสัมปทานเป็นตัวตั้ง มองทางด่วนเป็นท่อนๆ ทำให้ประชาชนต้องจ่ายหลายท่อนแล้วรู้สึกแพง ถ้าจะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างต้องคิดเรื่องโครงสร้างค่าผ่านทางร่วม ซึ่งพรรคก้าวไกลเคยเสนอไปแล้วตอนยื่น พ.ร.บ.ถนน แต่ก็โดนรัฐบาลปัดตกไปอย่างไร้เหตุผล.