นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมหารือความร่วมมือของกระทรวงการคลังและสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (SFIs) ทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม เพื่อพิจารณาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกมังคุดและลำไยในช่วงที่ผลผลิตล้นตลาด พร้อมแถลงข่าวผลการประชุมหารือดังกล่าวภายหลังการประชุม ซึ่งผลจากการหารือได้ข้อสรุปว่าสถาบันการเงินเฉพาะกิจจะร่วมกันช่วยรับซื้อผลผลิตมังคุดและลำไยจากเกษตรกร โดยมีเป้าหมายจะรับซื้อมังคุดประมาณ 29 ตัน และลำไยประมาณ 26 ตัน รวมทั้งสิ้น 55 ตัน และกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน จะช่วยเหลือในส่วนของการจัดส่งผลผลิตผลไม้ดังกล่าว
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า วันที่ 25 กรกฎาคม 2567 ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ 1 กระทรวงการคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้หารือร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 7 แห่ง ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม เพื่อพิจารณาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรที่ปลูกมังคุดและลำไยในช่วงที่ผลผลิตล้นตลาด ทั้งนี้ ผลจากการหารือได้ข้อสรุปว่าสถาบันการเงินเฉพาะกิจจะร่วมกันช่วยรับซื้อผลผลิตมังคุดและลำไยจากเกษตรกร โดยมีเป้าหมายจะรับซื้อมังคุดประมาณ 29 ตัน และลำไยประมาณ 26 ตัน รวมทั้งสิ้น 55 ตัน และกระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าภายใน จะช่วยเหลือในส่วนของการจัดส่งผลผลิตผลไม้ดังกล่าว
โฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ตามที่กระทรวงการคลังได้หารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์เพื่อพิจารณาแนวทางขับเคลื่อนมาตรการบริหารจัดการพืชเกษตรเศรษฐกิจตัวรอง ปี 2567 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567 และกระทรวงพาณิชย์ได้ประสานงานมายังกระทรวงการคลังเกี่ยวกับฤดูการผลิตผลไม้สำคัญที่คาดว่าจะออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม 2567 และมีแนวโน้มที่เกษตรกรอาจประสบปัญหาด้านราคาในช่วงที่ผลผลิตกระจุกตัว ได้แก่ มังคุด (ภาคใต้) และลำไย (ภาคเหนือ) ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จึงขอความร่วมมือกระทรวงการคลังในการช่วยดูดซับผลผลิตผลไม้ในช่วงดังกล่าว ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งในการรักษาระดับเสถียรภาพด้านราคา
ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงได้จัดประชุมร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกแห่ง เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2567 เพื่อขอความร่วมมือสถาบันการเงินเฉพาะกิจให้ช่วยรับซื้อผลผลิตมังคุดและลำไยจากเกษตรกรในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อลดปริมาณผลผลิตที่ล้นตลาด โดยผลการประชุมคาดว่าสถาบันการเงินเฉพาะกิจจะสามารถรับซื้อมังคุดและลำไยจากเกษตรกรในช่วงดังกล่าวได้ประมาณ 55 ตัน ประกอบด้วย มังคุด 29 ตัน และลำไย 26 ตัน นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายในจะร่วมช่วยเหลือเกษตรกรในส่วนของการจัดส่งผลผลิตให้กับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
โฆษกกระทรวงการคลังกล่าวเพิ่มเติมว่า “การดำเนินการในครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งพร้อมให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกมังคุดและลำไย และทุกภาคส่วนที่ร่วมกันในวันนี้คาดหวังว่า การช่วยรับซื้อผลผลิตมังคุดและลำไยจากเกษตรกรในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมาก จะช่วยดูดซับปริมาณผลผลิตที่ล้นตลาด พยุงราคาผลไม้ ยกระดับรายได้ให้แก่เกษตรกร และก่อให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในพื้นที่เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไป