เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 25 ก.ค. ที่สโมสรทหารบก นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อม หลังศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของนายกฯ สิ้นสุดลง กรณีที่ 40 สว. ยื่นคำร้องการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 14 ส.ค. นี้ ว่า ยังไม่ได้เตรียมอะไร เพราะเพิ่งทราบเมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่ผ่านมา ก็ต้องคอยฟัง ซึ่งขณะนี้ปิดแล้ว แต่ยังไม่แน่ใจว่า closing statement (คำแถลงปิดคดี) จะเป็นเมื่อไหร่ เข้าใจว่าภายใน 7 วัน
เมื่อถามว่ามีหลายคนส่งกำลังใจให้ นายกฯ กล่าวว่า ตนขอบคุณมาก ที่ผ่านมาเชื่อว่าทำดีที่สุดแล้ว และเข้าใจว่าตอนนี้ส่งข้อมูลไปครบถ้วนทั้งหมดแล้ว และเข้าใจว่าอยู่ในกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดแล้ว ก็ไม่อยากจะพูด
เมื่อถามต่อว่านายกฯ ยังมั่นใจเหมือนเดิมใช่หรือไม่ หลังจากที่เคยระบุไว้ว่าจะไม่ทำให้การทำงานสะดุดลง นายกฯ กล่าวว่า ตนยังมั่นใจว่ายังทำงานเต็มที่ และมีกำลังใจเต็มเปี่ยม
เมื่อถามอีกว่า หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าในเดือน ส.ค. นี้ จะมีเหตุการณ์ทางการเมืองเกิดขึ้นหลายเหตุการณ์ ยังเชื่อมั่นในพรรคร่วมรัฐบาลและเสถียรภาพทางการเมืองใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า “ท่านคงเห็นภาพที่ผมทำกิจกรรมกับพรรคร่วมรัฐบาลทุกๆ คน วิธีการที่เราพูดจากัน มีการพูดคุยกันตลอด และได้เจอกันเยอะในช่วงเดือนมหามงคล งานก็ยังเดินหน้าไปได้ด้วยดี อะไรที่ไม่เข้าใจกันก็เป็นธรรมดาของการอยู่ร่วมกัน ก็มีการจัดการแก้ไขปัญหากันไป”
เมื่อถามย้ำว่าได้มีการพูดคุยถึงปฏิญญาเขาใหญ่กันบ้างหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่แน่ใจว่าหมายความว่าอะไร แต่เข้าใจว่า มีภาพของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และภาพของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย แต่พรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย มีมากกว่าปฏิญญา เป็นสัญญาร่วมกันอยู่แล้ว เพราะเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เป็นสูตรหนึ่งของ 2 พรรคที่ทำมา 314 เสียง ซึ่งเราพูดมาโดยตลอด ตรงนี้ตนเชื่อมั่นว่า เป็นเรื่องของการไปออกกำลังกายและไปตีกอล์ฟร่วมกัน ก็เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว และสังคมไทยเป็นสังคมที่เราคบหาสมาคมกัน ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจหรือนักการเมือง หรืออดีตนักการเมือง
เมื่อถามด้วยว่าความเห็นต่างเรื่องกัญชาจะไม่ทำให้เกิดความบาดหมางใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเราเอง เราก็เสนอให้ออกเป็นพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) และมีการพูดคุยกัน ก็ขอให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะต้องทำงานต่อไป.