จากกรณีศาลปกครองสูงสุดนัดอ่านคำพิพากษาในคดีที่บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บีทีเอส) ยื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร และบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด กรณีผิดสัญญาการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อขอให้ชำระค่าตอบแทนตามสัญญาดังกล่าวว่าในวันที่ 26 ก.ค. 67 เวลา 09.00 น. นั้น

เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ที่อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการ กทม. ดินแดง นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า คงต้องรอฟังคำสั่งศาลในวันศุกร์นี้ (26 ก.ค) อีกครั้งว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งจะมีใน 2 มิติ เพราะคำสั่งศาลในอดีตที่ผ่านมาแล้ว มีคำสั่งศาลออกมาแล้ว และในส่วนของอนาคตต้องดูอีกทีว่า ตัวสัญญาจะเป็นอย่างไร อาจต้องดูคำสั่งศาลเป็นมูลฐานในการพิจารณาเรื่องของอนาคตด้วย เพราะตัวของสัญญาที่ 2 ยังอีกไกลเป็น 10 ปี ดังนั้นคำตัดสินของศาลไม่ว่าจะตัดสินออกมาอย่างไร ในเรื่องของอดีตที่ผ่านไปแล้วที่เดินรถไปแล้ว เราก็ต้องดูอนาคตด้วย อันนี้ก็ต้องรอคำสั่งศาล ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่เรามาอยู่แล้ว แต่พอเรามาเราก็พยายามทำคดีให้ดีที่สุด คงต้องรอฟังคำสั่งศาลในวันศุกร์อีกครั้ง

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า หากคำตัดสินของศาลเป็นไปตามศาลชั้นต้นกรณีเรื่องของการชำระหนี้นั้น ทาง กทม.จะดำเนินการอย่างไรต่อ นายชัชชาติ ระบุว่า เราคงต้องรอดูคำสั่งศาลอีกครั้งว่าให้ใครจ่าย เพราะเข้าใจว่าทางเอกชนฟ้องกรุงเทพมหานคร ซึ่งเราก็คงต้องรอฟังคำสั่งของศาลอีกครั้ง เราไม่กล้าไปก้าวล่วง เราคงทำอะไรก่อนไม่ได้ เพราะอย่างที่บอกว่าตอนนี้เรื่องยังคงค้างอยู่ในศาล เราจะไปตัดสินจ่ายก่อนก็ไม่ได้ เพราะสุดท้ายต้องรอคำสั่งจากศาล ถือเป็นเรื่องดีจะได้ชัดเจนและเดินหน้าต่อ เพราะเป็นเรื่องที่ค้างคามานาน

ผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่า หากกรณีที่ต้องชำระหนี้ ขณะนี้ กทม.มีเงินพร้อมหรือไม่ นายชัชชาติ ระบุว่า ก็คงต้องคุยเรื่องเงินกันอีกครั้ง เราก็พยายามใช้งบประมาณต่างๆ อย่างจำกัด เพื่อให้มีเงินเหลือไว้ใช้กรณีฉุกเฉิน ซึ่งการตั้งงบประมาณในปี 68 นี้ เราก็ยังตั้งงบประมาณเท่าเดิมคือ 9 หมื่นล้าน เนื่องจากเราก็ยังมีคดีอื่นที่ค้างอยู่ เช่น คดีรถดับเพลิงที่ยังจอดอยู่ที่แหลมฉบังอีกประมาณ 3 พันล้าน ซึ่งก็เป็นเรื่องในอดีต ดังนั้นเราจึงจะต้องเตรียมเรื่องงบประมาณเผื่อไว้หากมีกรณีฉุกเฉิน.