หลังจาก คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ออกมาตรการเพื่อเร่งแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกคนไทยไม่เว้นในแต่ละวัน โดยเฉพาะในเรื่อ  “ซิมผี-บัญชีม้า” ที่ถือเป็นเครื่องมือหนึ่งที่เหล่าแก๊งมิจฉาชีพใช้เป็นส่วนหนึ่งในการหลอกลวง

วันนี้จะมาอัปเดต ถึงมาตรการต่างๆ ที่ออกมา มีความคืบหน้าได้อย่างไรจาก พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการ กสทช. และประธานอนุกรรมการบูรณาการแนวทางในการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยี โทรคมนาคมและความมั่นคงของรัฐ

“พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร” บอกว่า ที่ผ่านมา กสทช.ได้บูรณาการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้มีการออกมาตรการยืนยันตนของผู้ถือครองซิม ตั้งแต่ 6 หมายเลขขึ้นไป  โดยแบ่งเป็น

1. กลุ่มผู้ลงทะเบียนที่ถือซิมการ์ดตั้งแต่ 6-100 เลขหมาย  ได้ครบกำหนด การยืนยันตัวตน เมื่อ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยมีเลขหมายที่ไม่ลงทะเบีนตามกำหนด จำนวน 2,141,317 เลขหมาย  ซึ่งจะเร่งระงับการโทรออก การส่งข้อความ และการใช้อินเทอร์เน็ต แต่ยังคงรับสายโทรเข้าได้อีกระยะหนึ่งก่อนถูกเพิกถอน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า 2-3 สัปดาห์ หลังการระงับจะมีผู้ใช้บริการจำนวนมากหลั่งไหลมายืนยันเพิ่มเติมเช่นเดียวกับกลุ่มผู้ถือซิมการ์ด 101 เลขหมายขึ้นไป 

และ 2. กลุ่มผู้ลงทะเบียนถือซิมการ์ด 101 เลขหมายขึ้นไป ซึ่งได้ครบกำหนดการยืนยันตัวตน ตั้งแต่วันที่ 14 ก.พ. 67  ได้ถูกระงับการใช้งานไปจำนวน 1,096,000 เลขหมาย

พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร

“ซิมการ์ด ส่วนหนึ่งที่ยังไม่ได้มาลงทะเบียนตามกำหนด ยังสามารถมาลงทะเบียนกับผู้ให้บริการมือถือได้ ในระยะที่ค่ายมือถือแต่ละแห่งกำหนด ซึ่งจะอยู่ที่ประมาณ 30-45 วัน ก่อนที่จะถูกระงับถาวร นำเลขหมายไปขายใหม่ หรือส่งคืน สำนักงาน กสทช. โดยเฉพาะซิมการ์ด ที่ถูกใช้ในอุปกรณ์ไอโอที เช่น อุปกรณ์จีพีเอสในรถยนต์ เครื่องรูดบัตรของธนาคาร ซึ่งเมื่อไม่สามารถใช้งานได้ เชื่อว่าผู้ถือครองจะมีการมายืนยันตัวตนเพิ่มเติมอีก”

ในอีกหนึ่งมาตรการก็คือ การตรวจสอบโมบายแบงก์กิ้ง “ชื่อบัญชีไม่ตรงซิม”  ที่ได้ร่วมกับ  สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.) ผู้ให้บริการมือถือ และธนาคาร ร่วมกันตรวจสอบ โดยความคืบหน้าในปัจจุบัน ทาง กสทช. ได้รับข้อมูลจากธนาคารทั้ง 21 แห่ง ผ่านทาง ปปง. แล้ว จำนวน 113,568,836 บัญชี คิดเป็น 79-80 ล้านเลขหมาย  ที่ซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบแยกเครือข่าย และชื่อบัญชีตรงกับซิมหรือไม่  คาดว่าจะแล้วเสร็จได้ภายในกำหนดสิ้นเดือน ก.ย.นี้

นอกจากรี้ยังมีมาตรการกำจัด เสา สาย กระจายสัญญาณโทรคมนาคมเถื่อน โดยร่วมกับ สตช. กวาดล้างจับกุม  ล้มเสาเถื่อน ตลอดแนวชายแดน ในพื้นที่ 5 จังหวัด 7 อำเภอ ได้แก่ อ.แม่สอด จ.ตาก, อ.แม่สาย อ.เชียงของ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย, อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว, อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี และ อ.เมือง  จ.ระนอง โดยระงับสัญญาณ 465 จุด, ปรับทิศทางสายอากาศ 470 จุด และรื้อถอนสายอากาศ จำนวน 179 จุด

ขณะเดียวกันได้ตรวจค้นจับกุมอุปกรณ์โทรคมนาคมเถื่อนที่ไม่ได้อนุญาต จาก กสทช. เป็นการทำลายปัจจัยสำคัญในก่ออาชญากรรมของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการไหลทะลักเข้ามาของอุปกรณ์สื่อสารผ่านดาวเทียม Starlink  ที่ได้กลายเป็นอุปกรณ์ที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้ไทยเป็นทางผ่านไปยังประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อใช้อินเทอร์เน็ตแทน หลังได้ถูกกวดขันเครือข่ายสัญญาณบริเวณชายแดน

โดยในเรื่องนี้ ทาง “พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร” บอกว่า ต้องมีการกวดขันจับกุมและป้องกันการลักลอบเข้ามาให้เข้มข้นขึ้น เพราะถือเป็นอุปกรณ์ที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจาก กสทช. ส่วนหากมีการใช้งานในประเทศเพื่อนบ้าน คงไม่สามารถดำเนินการห้ามได้ เพราะเป็นพื้นที่นอกประเทศ แต่เชื่อว่าสัญญาณอินเทอร์เน็ตความเสถียรและความเร็ว ที่มาจากดาวเทียมวงโคจรต่ำ (ลีโอ) คงไม่สามารถทดแทนสัญญาณจากโครงข่ายภาคพื้นดินได้

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการตัดวงจรแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้อย่างไรบ้างนั้น ทาง  พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รองเลขาธิการ ปปง. บอกว่า  หลังออกมาตรการต่างๆ จากข้อมูลที่มีพบว่ามีบัญชีม้าเข้าสู่ระบบลดลงกว่า 50% จากเดิมที่มีบัญชีม้าเข้าสู่ระบบประมาณ 2 หมื่นบัญชีต่อเดือน ถือว่ามาตรการต่างเดินมาถูกทาง

“ตอนนี้มิจฉาชีพที่ต้องการบัญชีม้ามีเงิน 5 หมื่น ก็ไปหาซื้อได้ยากมากขึ้น ราคาซื้อขายบัญชีม้าสูงขึ้น เพราะปัจจุบันการเปิดบัญชีใหม่ มีการตรวจสอบกวดขันจากธนาคารมากขึ้น โดยธนาคารสามารถปฏิเสธการเปิดบัญชีให้ลูกค้าได้ เพราะพบว่ามีความเสี่ยง หรือชี้แจงไม่ได้ว่าเปิดบัญชีไปทำอะไรในกรณีบุคคลนั้นมีหลายบัญชีอยู่แล้ว ขณะเดียวกันหากพบว่าเป็นบัญชีม้า ก็จะถูกอายัดบัญชีชื่อเดียวกันกับบัญชีม้าทุกบัญชีทำให้บัญชีม้าในระบบลดลงไปมาก”

พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ 

รองเลขาธิการ ปปง. ยังบอกถึงกรณี การตรวจสอบ “ชื่อบัญชีไม่ตรงซิม” นั้น ขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้ที่ชื่อไม่ตรงรีบไปแจ้งที่ศูนย์บริการ ก็จะสามารถใช้งานได้ปกติ โดยเฉพาะจะเร่งตรวจสอบบัญชีโมบายแบงก์กิ้ง ที่เปิดใหม่ไม่เกิน 2 ปีก่อน เพราะเป็นช่วงที่มีบัญชีม้าเข้าระบบจำนวนมาก ขณะเดียวกันผู้ที่ต้องการเปิดบัญชีโมบายแบงก์กิ้งใหม่นั้น จะต้องมีชื่อครอบครองซิมกับบัญชีโมบายแบงก์กิ้ง ซึ่งธนาคารจะมีการตรวจสอบให้ตรงกันก่อนอนุญาตให้เปิดบัญชี

อย่างไรก็ตาม สำหรับกลุ่มที่จะได้รับการยกเว้น ชื่อเจ้าของซิมไม่ต้องตรงกับบัญชีโมบายแบงก์กิ้งได้ เบื้องต้นจะมีอยู่ 4 กลุ่ม คือ   1.คนในครอบครัวเดียวกัน เช่น พ่อแม่ ลูก ที่มีหลักฐานพิสูจน์ทราบได้ 2.คนทุพพลภาพ ที่ต้องมีผู้อนุบาลดูแล  3. เบอร์ขององค์กรและบริษัทที่ให้พนักงานใช้ โดยต้องมีหนังสือจากผู้บริหารองค์กรยืนยัน และ 4. กลุ่มเบอร์ที่ติดโปรโมชั่นหรือซิมกลุ่ม โดยจะมีการหารือกับค่ายมือถืออีกครั้ง

นอกจากนี้ทาง ปปง. จะมีการหารือกับธนาคาร ในเรื่องการโอนเงินอาจจะจำกัดวงเงินการโอนลดลงมา จากเดิมหากโอนเกิน 5 หมื่นบาทต่อครั้งต้องมีการสแกนใบหน้าด้วย ซึ่งวงเงินที่ปรับลดลงมาอาจจะเหลือ 2 หมื่นบาท หรือ 3 หมื่นบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องหารือและเห็นชอบเหมือนกันทุกธนาคารให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบมีการย้ายบัญชีทำให้เสียลูกค้าไป

ทั้งหมดเป็นมาตรการที่ต้องการลดปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้ “ซิมผี-บัญชีม้า” ในการเป็นหนึ่งในเครื่องมือหลอกลวงคนไทย คงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะสามารถตัดวงจร “แก๊งมิจฉาชีพ” ให้หมดไปได้หรือไม่ แต่หากยังอาละวาดหลอกลวงคนไทยอย่างต่อเนื่อง จะมีมาตรการใหม่ๆ ออกมาจัดการอย่างแน่นอน!?!

จิราวัฒน์ จารุพันธ์