เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ที่รัฐสภา นายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 กล่าวถึงกรณีศาลรัฐธรรมนูญนัดฟังคำวินิจฉัยในคดียุบพรรคก้าวไกล วันที่ 7 ส.ค.นี้ว่า ตนขอให้ความเห็นในสถานะแรกคือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่วนตัวในฝ่ายนิติบัญญัติ มองว่าการยุบพรรคการเมือง เป็นการทำลายเจตนารมณ์ของประชาชน และทำให้สถาบันนิติบัญญัติอ่อนแอ โดยเฉพาะประเทศใดก็ตามที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่มีการยุบพรรคฝ่ายค้านกลไกการตรวจสอบรัฐบาล และการรักษาสิทธิของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ก็จะบกพร่องไปด้วย

“ผมเองก็ค่อนข้างกังวลในเรื่องนี้ ว่าถ้ายุบพรรคก้าวไกลแล้วสภาของเราจะหน้าตาเป็นอย่างไร ฝ่ายค้านจะยังเข้มแข็งหรือไม่ จะมีการตรวจสอบถ่วงดุลกับอีก 2 อำนาจได้อย่างไร เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของสภาไทย แต่เป็นเรื่องของสภานานาชาติด้วย เพราะเราต้องชี้แจงเรื่องนี้ เพื่อน สส. และทูตในหลายประเทศก็กังวล” นายปดิพัทธ์ กล่าว

นายปดิพัทธ์ กล่าวต่อว่า ขอย้ำว่านี่ไม่ใช่เรื่องของพรรคใดพรรคหนึ่ง แต่เป็นเรื่องที่หากนิติบัญญัติถูกฝ่ายอื่นแทรกแซง ห้ามไม่ให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือทำแล้วมีโทษ ก็จะแสดงให้เห็นชัดเจนว่าประเทศของเรายังไม่ได้เป็นประชาธิปไตย ส่วนหากมีการยุบพรรคส่งผลให้กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิ จะมีผลต่อตำแหน่งรองประธานสภาหรือไม่นั้น แน่นอนว่าตนเองเป็นอดีตกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ในช่วงหาเสียงเลือกตั้งปี 2566 และรายชื่อของตนก็ปรากฏชัดเจนอยู่ในคำร้องของ กกต. ดังนั้น ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้

นายปดิพัทธ์ กล่าวอีกว่า สำหรับเรื่องการวินิจฉัยในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ตนคิดว่าการแถลงของอดีตเพื่อนสมาชิกพรรคก้าวไกลมีน้ำหนักมาก โดยเฉพาะเรื่องคำร้องของ กกต. เป็นที่ประจักษ์ เชื่อว่าวิญญูชน สื่อมวลชน นักวิชการ ก็มีผลวินิจฉัยของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนตัวไม่ได้มีความกังวลอย่างใดทั้งสิ้นส่วนหากผลของคดีเป็นลบ

เมื่อถามว่าส่วนตัวเสียดายการทำหน้าที่ในตำแหน่งรองประธานสภาหรือไม่ นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า “เดี๋ยวค่อยมาสัมภาษณ์หลังจากนั้นแล้วกัน แต่ความตั้งใจทำงานตามที่ได้หาเสียงไว้ หากย้อนไปดู ผมทำได้เกือบทุกข้อแล้ว เหลือเพียงเรื่องใหญ่ๆ ที่อาจต้องใช้เวลามากหน่อย”

นายปดิพัทธ์ กล่าวด้วยว่า ตนขอยกตัวอย่างงานของสภา ไม่ว่าจะเป็นการปฏิรูปโครงสร้างสำนักงานเลขาธิการของทั้งสองสภา หากมีอะไรซ้ำซ้อนระหว่างสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา เราจะรวมกัน และเปิดหน่วยงานใหม่ขึ้นมาในอนาคต เป็นเรื่องที่ส่วนตัวรู้สึกตื่นเต้นกับโครงสร้างใหม่ที่จะเกิดขึ้นมา ยืนยันว่าได้รับฟังความเห็นจากรอบด้าน ตลอดจนนโยบายระบบบริการคลาวด์ภาครัฐ (Cloud First Policy) ที่กำลังทำสัญญาอยู่

“ถ้าจะเสียดาย ก็เสียดายว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ จะเกิดหรือไม่เกิด ก็ไม่รู้ ขึ้นอยู่กับผู้นำรุ่นต่อไป แต่ตอนนี้ตนพยายามทำสภาไปสู่รัฐสภาสามารถ (Smart Parliament)” นายปดิพัทธ์กล่าว เมื่อถามว่าหากหลุดจากตำแหน่งรองประธานสภา อาจส่งผลให้พรรคร่วมฝ่ายค้านเสียเก้าอี้นี้ไปเลยหรือไม่ เพราะรัฐบาลจะมีเสียงมากกว่า นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า แน่นอน เพราะประธาน และรองประธานสภาต้องเป็น สส. หากตนถูกตัดสิทธิก็เท่ากับว่า ความเป็น สส. ของตนก็จะหลุดไปด้วย แต่ทั้งหมดก็เป็นการตัดสินใจของสภาหลังจากนั้น.