กำลังเป็นที่ฮือฮา และถกเถียงกันอย่างมากในหมู่แฟนบอลชาวไทยเกี่ยวกับ “แพ็กเกจพรีเมียร์ลีก” ฤดูกาลใหม่จากเจ้าของลิขสิทธิ์ในประเทศไทยอย่าง “ทรูวิชั่นส์”

นั่นเพราะเกิดการ “ขึ้นราคา” และขึ้นในอัตราค่อนข้างสูง

ฤดูกาลที่แล้ว ทรูวิชั่นส์ ขายแพ็กเกจ 1 ฤดูกาล ในราคา 3,200 บาท แต่ถ้าใครซื้อก่อน จะได้ราคา “เออร์ลี เบิร์ด” อยู่ที่ 2,900 บาท

แต่ฤดูกาลนี้ “แพ็กเกจถูกที่สุด” คือ 4,500 บาท และคนจะสมัครแพ็กเกจนี้ได้ต้องเป็นสมาชิกทรูในระบบดาวเทียมหรือเคเบิล และมีแพ็กเกจทรูอยู่แล้ว

ถ้าไม่ได้เป็นสมาชิก ต้องไปดูที่ “ทรูวิชั่นส์นาว” ซึ่งดูได้ทั้ง “แอปพลิเคชันทรูวิชั่นส์นาว (ใหม่)” และ “ทรูวิชั่นส์นาว บนแอปพลิเคชันทรูไอดี”

อันนี้ราคาจะอยู่ที่ 5,490 บาทต่อฤดูกาล

ถ้าไม่อยากเสียเงินก้อน สามารถสมัครเป็นรายเดือนได้ ในราคาเดือนละ 499 บาท (สมาชิก) และ 599 บาท (ทรูวิชั่นส์นาว)

เคาะเครื่องคิดเลขแล้ว จะเห็นว่ารายเดือนแพงกว่ารายฤดูกาล และเทียบความคุ้มค่ากับความต่อเนื่องแล้ว แฟนบอลส่วนใหญ่ก็คงสมัครแบบทั้งฤดูกาล

ต้องยอมรับว่าราคานี้ทำให้แฟนบอลตกใจไม่น้อย และหาทางออกกันยกใหญ่ว่าจะทำยังไงดี

เพราะขึ้นราคาแบบเกินคาดไปมาก

คิดง่ายๆ คนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นสมาชิกทรูอะไรเลย ราคาที่ต้องจ่ายคือ 5,490 บาท

เทียบกับฤดูกาลที่แล้วที่ “เออร์ลีเบิร์ด” 2,900 บาท

เท่ากับจ่ายมากขึ้นถึง 2,590 บาท

กับสภาพเศรษฐกิจ ยุคข้าวยากหมากแพงตอนนี้ ถือว่าหนักหนาสาหัส และคงส่งผลต่อยอดคนสมัครแน่

  • ทำไมต้องขึ้นราคา –
    องอาจ ประภากมล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านมีเดีย บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น ให้เหตุผลที่ต้องปรับราคาว่า

“ค่าลิขสิทธิ์” สูงขึ้นทุกปี

และนี่คือราคา “ต่ำที่สุด” เท่าที่ทรูจะทำได้แล้ว ถ้าหากต่ำกว่านี้จะไม่สามารถทำธุรกิจได้

ในรอบนี้ ทรูวิชั่นส์ ซื้อลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีก เป็นเวลา 3 ฤดูกาล เริ่มตั้งแต่ 2022-2023

ฤดูกาลหน้า (2024-2025) จะเป็นฤดูกาลสุดท้าย

แต่ระหว่าง 3 ฤดูกาลนี้ องอาจ บอกว่า “ค่าลิขสิทธิ์” เพิ่มขึ้นทุกปี

ทรูวิชั่นส์ จึงจำเป็นต้องขึ้นราคา และยืนยันว่า นี่คือราคาที่ดีที่สุดเท่าที่บริษัทจะทำได้ ถ้าให้ขายขาดทุน ก็คงไม่ได้

บวกกับคอนเทนต์อื่นๆ ที่แฟนบอลจะได้ เช่น ทีมพากย์ชั้นนำ, รายการก่อน-หลังเกม, ไฮไลต์ทุกนัด, รับชมย้อนหลังได้

“ทรูวิชั่นส์” เชื่อว่านี่คือราคาที่เป็นไปได้มากที่สุด

และถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ ไทยถือว่าเป็นราคาที่ถูกที่สุดแล้ว

แน่นอนว่า ในการทำธุรกิจ ย่อมไม่มีใครยอมขาดทุน ถ้าทำแล้วขาดทุน ต้องเข้าเนื้อก็ไม่รู้จะทำไปทำไม

บวกกับสมัยนี้ โลกของธุรกิจสื่อเปลี่ยนไป ของทุกอย่างมีราคา ถ้าอยากจะดูก็ต้องยอมจ่าย และต้องจ่ายแพงขึ้นทุกวัน

คำถามคือ คุณจะยอมจ่ายหรือไม่?

เพราะจะมาหวังให้ผู้ประกอบการใจดี ลดราคาให้ หรือมี “ฟรีทีวี” ซื้อมาให้ดูฟรีๆ นั้นไม่มีอีกต่อไป

แต่ในมุมของผู้ประกอบการเอง การขึ้นราคาย่อมมาพร้อมเสียงวิจารณ์ และ “ฟุตบอล” คือความบันเทิง ไม่ใช่อาหารที่ต้องกินทุกมื้อ

คนที่เห็นว่า ไม่ไหวแล้ว เกินงบที่จ่ายได้ บอกลากันไป ไม่สมัครดูต่อ ก็คงมีอยู่ไม่น้อย

ถือว่ามีความเสี่ยงสูงเช่นกัน

  • แฟนบอลจะทำยังไง –
    อย่างหนึ่งที่อาจช่วยผ่อนแรงแฟนบอลได้ก็คือรอบนี้ แพ็กเกจหนึ่ง สามารถดูได้ 2 เครื่อง

กล่าวคือ ซื้อแค่ 1 แพ็กเกจ แต่คุณสามารถล็อกอินเข้าดูพร้อมกัน (หรือไม่พร้อมกัน) ได้ 2 อุปกรณ์

ตรงนี้ จึงอาจชวนเพื่อนมาหารคนละครึ่ง แต่ละคนจ่ายลดลงไปได้

แต่ยังไงก็ “ไม่แนะนำ” ให้ดู “ช่องทางธรรมชาติ” เด็ดขาดนะครับ

เพราะนอกจากจะไม่ได้อรรถรสแล้ว รู้หรือไม่ว่า มันอาจมีสิ่งแปลกปลอมแทรกเข้ามาในลิงก์ที่คุณกดดู

ซึ่งนั่นอาจอันตราย และบ่อนทำลายได้มากกว่าที่คุณคิด เพราะคุณอาจถูกแฮก แล้วนำข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในทางมิชอบ เสียเงินเสียทองก็เป็นได้

  • บทสรุป –
    สุดท้ายแล้ว คงต้องบอกว่า ต้องกัดฟันกันหน่อยล่ะครับสำหรับแฟนบอล

ถ้าอยากดูก็ต้องยอมจ่ายแหละ ไม่มีทางเลือกอื่น

และก็ต้องทำใจล่วงหน้าเอาไว้ก่อนเลยด้วย เพราะราคาในฤดูกาลต่อๆ ไปมีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ

แต่ถ้า “ทรูวิชั่นส์” จะเห็นใจแฟนบอลชาวไทยที่สนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง ยอมเฉือนเนื้อสักนิด ทำเป็นหลับตาข้างเดียวสักหน่อย เพิ่มคอนเทนต์ให้คนดูบ้างก็คงจะดีไม่น้อย

เช่น ฟุตบอลลีกยุโรปอื่นๆ หรือ กีฬาระดับโลกทั้งหลาย ถ้าหากสามารถใส่เพิ่มเข้ามาในแพ็กเกจด้วย แฟนบอลก็คงขอบคุณมาก

ยิ่งถ้าหาก ได้ลิขสิทธิ์ “ไทยลีก” ได้กลับมาถ่ายทอดสดบอลไทยอีกครั้ง แล้วเอามาใส่รวมในแพ็กเกจพรีเมียร์ลีกบ้าง ไม่ต้องถึงกับทุกนัดหรอก ก็น่าจะช่วยให้แฟนบอลได้ชุ่มชื่นหัวใจ

และค่อยรู้สึก “คุ้ม” ขึ้นมาหน่อย.