จากกรณี น.ส.อ้อ (นามสมมุติ) อายุ 20 ปี เข้าขอความช่วยเหลือจากผู้สื่อข่าว เพื่อให้สื่อสารถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้เข้าตรวจสอบสำนักฤๅษีแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.วิภาวดี หลังถูกพ่อและแม่บังคับให้ไปรักษาโรคมะเร็งกับผู้ที่ใช้ชื่อว่าหมอพุทธ โดยระบุว่าวิธีการรักษา ได้ให้ตนเปลือยท่อนบน และใช้มือลูบไล้ไปตามร่างกาย แต่เมื่อตัดสินใจไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในตัวเมืองสุราษฎร์ธานี กลับไม่พบว่าตนเองเป็นโรคมะเร็งตามที่หมอฤาษีคนดังกล่าวกล่าวอ้าง โดย น.ส.อ้อ ยังระบุด้วยว่ายังมีเหยื่อซึ่งเป็นเด็กผู้หญิง อายุ 14 ปี ถูกกระทำในลักษณะเดียวกับตนอีกด้วย ซึ่งต่อมาหลังจากที่ น.ส.อ้อ ได้เข้าขอความช่วยเหลือจากนักข่าว ก็ถูกพ่อแม่ตามมารับตัว กลับไปยังพื้นที่ อ. วิภาวดี และนำตัวเข้ารักษาที่สำนักฤาษีดังกล่าวอีกครั้ง จน น.ส.อ้อ ตัดสินใจโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือ จากสายด่วน พม.1300 และต่อมาในช่วงค่ำวันที่ 14 ก.ค. นางประภาพรรณ เกตุแก้ว หัวหน้ากลุ่มการพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พม จ.สุราษฎร์ธานี เข้าประสานกับ พ.ต.อ.พงษ์ขจร สุกกสังค์ ผกก.สภ.วิภาวดี นำกำลังเจ้าหน้าทึ่ตำรวจไปรับตัว น.ส.อ้อ นามสมมุติ พร้อมน้าชายและน้าสาว เข้าแจ้งความกับตำรวจ โดยมีผู้เสียหายเป็นผู้หญิงอายุ 50 ปีอีกรายเข้าแจ้งความด้วย ตามข่าวที่นำเสนอไปแล้วนั้น

ต่อมาเมื่อเวลา 14.00 น.นางประภาพรรณ เกตุแก้ว หัวหน้ากลุ่มการพัฒนาสังคมและสวัสดิการ พม จ.สุราษฎร์ธานี นำตัว ดญ.เอ อายุ 12 ปี พร้อมด้วยนางบี มารดา เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบ ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการสอบสวนปากคำเด็กและเยาวชนด้วยทีมสหวิชาชีพ อย่างไรก็ตามในขณะที่เกิดเหตุ ทราบว่า ด.ญ.เอ ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่เกิดเหตุกับตาและยาย โดย นางบี ซึ่งได้เลิกรากับสามีที่เป็นพ่อของ ด.ญ. เอ ไปอาศัยและมีครอบครัวอยู่ในพื้นที่ อ.ไชยา โดยระหว่างนี้ นางบี จะเป็นผู้รับ ด.ญ.เอ ไปดูแล ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ พม.จ. สุราษฎร์ธานี อยู่ระหว่างการพูดคุยและเจรจา กับผู้เสียหาย ซึ่งเป็นเด็กหญิง อายุ 14 ปี โดยคาดว่าจะนำเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนในวันนี้เช่นกัน

และล่าสุดศาลจังหวัดไชยา จ. สุราษฎร์ธานี ได้อนุมัติหมายจับ นายถาวร อายุ 47 ปี และ นางวิภา ภรรยา อายุ 50 ปี ในข้อหากระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า 15 ปี โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยบุคคลนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้บุคคลนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่นและเป็นการกระทำโดยใช้อวัยวะอื่นซึ่งมีใช่อวัยวะเพศล่วงล้ำอวัยวะของบุคคลนั้น แต่จากการสอบสวนปากคำผู้ต้องทั้ง 2 ยังให้การปฎิเสธ อ้างว่าเป็นการรักษาอาการป่วยของผู้เสียหาย ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ ได้นำตัว 2 ผัวเมียไปชี้ที่เกิดเหตุ เพื่อประกอบสำนวนการสอบสวน ท่ามกลางความสนใจของชาวบ้านใกล้เคียงที่เกิดเหตุ และต่างพากันส่งเสียงก่นด่าผู้ต้องหาทั้ง 2 ด้วยถอยคำรุนแรง โดยส่วนใหญ่ต้องการครอบครัวที่ก่อเหตุย้ายออกไปจากหมู่บ้าน