เมื่อวันที่ 14 ก.ค. นายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย กล่าวถึงปัญหาการแพร่ระบาดของ “ปลาหมอคางดำ” ที่ลุกลามไป 13 จังหวัดในภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ขณะนี้ว่า เป็นภัยเงียบที่ร้ายแรงยิ่งกว่าภัยธรรมชาติเสียอีก เพราะมันว่ายน้ำไปได้ทุกที่ เมื่อ 10 กว่าปีก่อนเริ่มแพร่ระบาดที่ จ.สมุทรสงคราม ประมงพาณิชย์กับประมงพื้นบ้านมีข้อพิพาทโทษกันไปมาว่าเป็นผู้ที่ทำให้สัตว์น้ำทะเลและชายฝั่งลดลง แต่ไม่กี่ปีมานี้ชาวประมงเพิ่งมาตาสว่างว่าที่สัตว์น้ำทะเลที่ลดลงนั้น เป็นเพราะปลาหมอคางดำตัวร้ายนี่เองที่เป็นต้นเหตุ

นายมงคล กล่าวว่า ตอนนี้ปลาหมอคางดำ กระทบถึงใกล้ชายทะเลแล้ว ถึงมันจะไม่ชอบอาศัยอยู่ในทะเลแต่มันก็อยู่ได้ทุกสภาพน้ำ แต่ที่ชอบมากคือน้ำกร่อย และยังชอบอาศัยอยู่ตามป่าชายเลนเพราะอาหารอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งป่าชายเลนเป็นที่วางไข่และอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน จึงถูกปลาหมอคางดำจับกินเกือบหมด แล้วจะเหลือรอดกลับไปโตในทะเลสักเท่าไหร่ ตนไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสัตว์น้ำทั้งกุ้งทะเล ปลาทะเลในประเทศไทยเริ่มลดน้อยลง จนต้องมีการนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบอาชีพประมงเดือดร้อนกันทั่วหน้า เพราะที่ทำได้ก็ขายไม่ได้ราคา

“มองว่ากรณีปลาหมอคางดำที่ระบาดไปทั่วขณะนี้นั้น เป็นความบกพร่องของผู้ที่อนุญาตให้นำเข้ามา และความบกพร่องในการนำไปทำลาย ที่บอกว่านำไปกำจัดแล้วคนทำลายและคนควบคุม ดูแลยังไงถึงหลุดรอดไปลงแหล่งน้ำธรรมชาติได้ และที่ภาครัฐอ้างว่าอาจจะมีผู้ลักลอบนำเข้ามานั้น ตนไม่เชื่อแน่ๆ มันฟังไม่ขึ้นหรอก เพราะคิดตามหลักความเป็นจริง ใครจะอยากนำปลาหมอคางดำเข้ามา เพราะมันไม่ใช่ปลาเศรษฐกิจ หรือปลาสวยงาม เป็นสายพันธุ์เอเลี่ยนสปีชีส์ทำลายล้างระบบนิเวศ ใครจะลักลอบนำเข้ามาทำไม สิ่งที่ภาครัฐควรทำด้วยคือต้องไปหาผู้นำเข้าให้เจอ และรับผิดชอบผลการกระทำ เพราะชาวบ้านเขายังรู้ว่าใครนำเข้า”

อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐกำหนดให้การกำจัดปลาหมอคางดำเป็นวาระแห่งชาติแล้วก็ต้องเร่งมาตรการแก้ไขด้วย ไม่เช่นนั้นคนเชื่อว่าปลาหมอคางดำจะระบาดไปทั่วประเทศในอีกไม่กี่ปีแน่.