เมื่อวันที่ 13 ก.ค. ผศ.ดร.ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ อดีตรองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวถึงกระบวนการพิจารณากรณีการขาดคุณสมบัติของ นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. หลังจากที่คณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม วุฒิสภา หรือ กมธ.ไอซีที มีความเห็นว่า นพ.สรณ ขาดคุณสมบัติการเป็นประธานและกรรมการ กสทช.ตามระเบียบกฎหมาย พร้อมส่งเรื่องไปยัง นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาพิจารณาแล้ว แต่ยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ นานนับเดือน และตั้งข้อสังเกตว่าการที่ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภาไม่ดำเนินการใดๆ จนกระทั่งหมดวาระอาจเข้าข่ายเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามมาตรา 157 หรือไม่ อีกทั้ง เลขาธิการวุฒิสภาก็สามารถส่งเรื่องดังกล่าวไปยังนายกรัฐมนตรีหรือผู้เกี่ยวข้องได้

ทั้งนี้สืบเนื่องจากการที่ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา เคยให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.2567 ที่ผ่านมา ถึงงานที่ยังค้างอยู่ ว่า สว.ชุดของตนทำอะไรไว้เยอะ ส่วนที่ค้างอยู่ก็ทำบันทึกไว้ก็จะดูให้ และกรรมาธิการ (กมธ.) ชุดใหม่ก็เอาไปดูหากเหมาะสมก็ทำต่อไป แต่ถ้าเห็นว่าไม่เหมาะสมเขาก็มีสิทธิพิจารณาที่จะไม่ทำ หลายๆ เรื่องค่อยๆ ติดตามไป อย่างบางเรื่องมีผู้สื่อข่าวบอกว่าตนทำไม่ถูกต้อง เช่น การยื้อส่งเรื่องประธาน กสทช. ขาดคุณสมบัติ แล้วปัดให้ สว. ชุดใหม่นั้น ตนมองว่าเป็นปัญหาข้อพิพาทภายในคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และได้ตั้ง กมธ.กสทช. ซึ่งเมื่อวันที่ 28 พ.ค.ที่ผ่านมา เขาเพิ่งพิจารณาเสร็จ และตนก็ไม่รู้ว่าเขาส่งมาวันไหน แต่รู้ต่อมาว่า เขาส่งไปที่เจ้าหน้าที่ช่วงต้นเดือน มิ.ย. และเรื่องเพิ่งจะมาถึงตน

ผมไม่ได้ระงับรายงานการตรวจสอบประธาน กสทช.อะไรทั้งสิ้น จะระงับได้อย่างไรไม่มีประธานคนไหนจะไประงับ แต่ครั้งนี้เขาคิดว่าไม่ได้ดั่งใจเขา และคงคิดว่าประธานคงเป็นซุปเปอร์แมนหรืออะไรที่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม สว.ชุดใหม่ก็ทำหน้าที่ต่อไป แต่เขามีอิสระ ถ้าเขาเอาเรื่องไปดูแล้วไม่เห็นชอบก็ต้องพิจารณาทำหน้าที่ไป” นายพรเพชร กล่าว.

ย้อนอ่านข่าว ทยอยเก็บของแล้ว!! ‘พรเพชร’ พร้อมส่งต่องาน ให้ สว.ชุดใหม่

ผศ.ดร.ภูมิศิษฐ์ มหาเวสน์ศิริ อดีตรองเลขาธิการ กสทช.

ผศ.ดร.ภูมิศิษฐ์ กล่าวว่า การที่ประธานวุฒิสภามีท่าทีว่า จะส่งไม้ต่อให้วุฒิสภาชุดใหม่ ทั้งที่มีเรื่องร้องเรียนอยู่ที่ชุดเดิม และ คณะกรรมาธิการได้สรุปผลการสอบสวนข้อเท็จจริง และเสนอเข้าคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการวุฒิสภา เพื่อรับทราบผลการสอบสวนไปแล้ว จึงถือได้ว่าเป็นหน้าที่ของประธานวุฒิสภา ที่จะต้องส่งรายงานไปยังนายกรัฐมนตรี ดังนั้น การไม่ส่งต่อรายงานการสอบสวนไปยัง นายกรัฐมนตรี เมื่อตนได้รับนั้น ในทางกฎหมายย่อมไม่อาจจะพิจารณาเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากเป็นการประวิงเวลาเพื่อให้ประธาน กสทช.คนปัจจุบันยังคงทำหน้าที่ต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสิ้นสุดวาระไปเอง อาจเข้าข่ายการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ม.157 หรือ เลี่ยงการทำหน้าที่ ประธานวุฒิไม่อาจยกข้ออ้างที่ว่า สว.ชุดนี้กำลังจะหมดวาระเพราะมีการเลือกตั้ง สว. ชุดใหม่และรับรองแล้ว เรื่องนี้ก็ ฟังไม่ขึ้น ทั้งในแง่กฎหมายและข้อเท็จจริง เพราะตามมาตรา 20 ของ พรบ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ก็กำหนดให้เมื่อกรรมการ กสทช. ขาดคุณสมบัติ ตามาตรา 7 หรือ กระทำการฝ่าฝืนตาม มาตรา 8 ก็ให้ดำเนินการส่งไปยังนายกรัฐมนตรี เพื่อทูลเกล้าให้มีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่ง โดยไม่จำเป็นต้องขอมติของที่ประชุมวุฒิสภา แต่อย่างใด เนื่องจากได้รับรายงานอย่างสมบูรณ์เป็นที่ยุติและมีการเปิดเผยรายงานสู่สาธารณะแล้ว ดังนั้น จะต้องดำเนินการตามอำนาจผูกพันตามมาตรา 20 ให้เสนอนายกทูลเกล้าเพื่อมีพระบรมราชโองการให้ นพ.สรณ พ้นจากตำแหน่ง

หากย้อนกลับไปดูรายงานของคณะกรรมาธิการฯ ที่ได้จัดส่งผลการสอบสวนข้อเท็จจริง สรุปได้ว่า ศ.คลินิก นพ. สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธาน กสทช. มีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่ง กสทช. จริง และกระทำการฝ่าฝืนข้อห้ามของการดำรงตำแหน่ง กสทช. ตาม พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 7 ข. (12) มาตรา 8 และมาตรา 26 ประกอบกับมาตรา 18 มาตรา 20  ปรากฏตาม “บันทึกการประชุม คณะกรรมาธิการการเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร และการโทรคมนาคม ครั้งที่ 17/2567”