เมื่อวันที่ 12 ก.ค. พญ.อัจฉรา นิธิอภิญญาสกุล อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากกรณีมีผู้พักอาศัยภายในอาคารชุดแห่งหนึ่งย่านเขตจตุจักร เกิดโรคเยื่อบุตาอักเสบจำนวนหลายราย จากการใช้น้ำภายในอาคาร จึงได้มอบหมายให้สถาบันพัฒนาสุขภาวะเขตเมืองลงพื้นที่ร่วมกับสำนักอนามัย  สำนักงานเขตจตุจักร ศูนย์บริการสาธารณสุข 51 จตุจักร กรุงเทพมหานคร และสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง เก็บตัวอย่างน้ำอุปโภค 7 ตัวอย่าง พบคลอรีนอิสระคงเหลือในน้ำ ระหว่าง 0.2-0.5 ppm 6 ตัวอย่าง และไม่พบคลอรีนอิสระในน้ำ 1 ตัวอย่าง และได้ให้คำแนะนำนิติบุคคลอาคารชุดให้ดำเนินการตรวจสอบรอยรั่วของระบบน้ำ ล้างถังพักน้ำ ท่อน้ำ และสระว่ายน้ำด้วยวิธี Chlorine shock สื่อสารสร้างการรับรู้กับผู้อาศัย และติดตามการตรวจทางห้องปฏิบัติการหลังดำเนินการตามมาตรการ ซึ่งทางสำนักงานเขตจตุจักรจะเร่งดำเนินการตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2550) เพื่อกำกับติดตามให้นิติบุคคลอาคารชุดดำเนินการตามมาตรการต่อไป

สำหรับเชื้อปรสิตสามารถที่พบในแหล่งน้ำจืด น้ำกร่อย น้ำทะเล และน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ส่วนใหญ่การได้รับเชื้อจะได้รับโดยบังเอิญ และหากมีการติดเชื้อในระบบหายใจจะทำให้ปอดอักเสบติดเชื้อ ทางบาดแผลทำให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ส่วนการติดเชื้อที่กระจกตาซึ่งมักพบในผู้ใส่คอนแทคเลนส์ทำให้เกิดอาการระคายเคืองตา ตาแดง ปวดตา ถ้าเชื้อลุกลามอาจถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นหรือตาบอดได้ แต่หากเชื้ออะแคนทามีบาเข้าสู่ระบบเลือดอาจก่อเกิดโรคสมองอักเสบ และอาจเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ยังมี ไมโครสปอริเดีย หรือปรสิตที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำเช่นเดียวกับอะแคนทามีบา ผู้ติดเชื้อจะเกิดอาการท้องเสียเป็นน้ำ เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ และยังเป็นสาเหตุของโรคอุจจาระร่วง หากมีอาการผิดปกติหลังจากสัมผัสน้ำหรือการใช้น้ำ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างทันท่วงที

พญ.อัจฉรา กล่าวต่อว่า น้ำเป็นสิ่งที่ต้องใช้โดยตรงกับร่างกาย หากมีการจัดการน้ำที่ไม่ถูกวิธีหรือมีสารหรือการปนเปื้อน อาจทำให้เกิดอันตรายได้ โดยเฉพาะคอนโดฯ หอพัก อพาร์ตเมนต์ อาคารสำนักงาน ที่จะมีการเก็บน้ำประปาไว้บนอาคารสูง โดยมากจะมีบ่อสำรองน้ำใต้ดินเพื่อเก็บน้ำประปาก่อนที่จะสูบน้ำขึ้นไปพักไว้ในถังพักชั้นบน แล้วจ่ายให้แก่ผู้พักอาศัยตามห้องต่างๆ กรมอนามัย จึงแนะนำให้นิติบุคคลหรือผู้ดูแลอาคารดูแลรักษาระบบเก็บน้ำหรือถังพักน้ำในอาคาร เพื่อให้คุณภาพน้ำสะอาดอยู่เสมอ ดังนี้ 1. สำรวจสถานที่ตั้งของถังเก็บน้ำหรือถังพักน้ำ พื้นที่ตั้งควรมีขอบเขตชัดเจนมีหลังคาคลุม พื้นที่ตั้งต้องสะอาด ไม่มีน้ำขัง ไม่มีสิ่งของวางเกะกะรกรุงรังสามารถป้องกันสัตว์นำโรค เช่น สุนัข แมว นก หนู หรือสัตว์เลื้อยคลาน เข้าไปอาศัยได้ ถังน้ำไม่ควรตั้งกับพื้น ควรวางบนพื้นที่ยกระดับขึ้นมาประมาณ 15 เซนติเมตร มีแสงสว่างเพียงพอที่จะสามารถมองเห็นสิ่งผิดปกติในถังน้ำได้ และป้องกันไม่ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปบริเวณดังกล่าว

2. เลือกและดูแลตัวถังน้ำ ต้องทำมาจากวัสดุที่ปลอดภัย เหมาะสมสำหรับบรรจุอาหาร เช่น สเตนเลส ไฟเบอร์กลาส พลาสติก เป็นต้น สภาพถังน้ำต้องสะอาด ไม่ชำรุดแตกร้าว โดยเฉพาะฝาปิดต้องอยู่ในสภาพดี พร้อมใช้งาน ถังน้ำบนดินที่ออกแบบอย่างถูกต้องควรมีช่องระบายน้ำทิ้งด้านล่างสุด เพื่อความสะดวกเวลาล้างทำความสะอาดถัง ก่อนนำน้ำประปามาใส่ในครั้งแรกควรทำความสะอาดถังก่อนด้วยน้ำสะอาด และควรล้างถังน้ำอย่างถูกหลักสุขาภิบาล ทุกๆ 6 เดือน โดยการขัดถูผนังด้านในด้วยแปรง จากนั้นล้างด้วยน้ำสะอาด 2 ครั้งและในขั้นตอนสุดท้ายต้องใช้คลอรีนฆ่าเชื้อโรค เข้มข้น 50 ppm. แช่ถังทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วปล่อยทิ้งก่อนนำน้ำประปามาใส่ตามปกติ

3. รักษาคุณภาพน้ำ ส่วนมากอาคารสูงจะใช้น้ำประปา ซึ่งอาจจะเป็นน้ำประปาจากการประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค ประปาของเทศบาลหรือประปาองค์การบริหารส่วนตำบล โดยคุณภาพน้ำจากระบบผลิตน้ำประปานั้นส่วนใหญ่ได้มาตรฐานทั้งทางด้านกายภาพ เคมี และแบคทีเรีย นอกจากนั้นยังมีคลอรีนอิสระในน้ำหลงเหลืออยู่ 0.2-0.5 ppm. แต่เมื่อนำมาใส่ถังน้ำสำรองคลอรีนอิสระในน้ำนี้ก็จะสลายหายไปจนไม่มีเหลือเลย ดังนั้นผู้ดูแลต้องเช็กปริมาณคลอรีนคงเหลืออยู่เสมอ โดยเฉพาะถังเก็บน้ำหรือถังพักน้ำบนอาคาร หากไม่พบควรจะมีการเติมคลอรีนเพิ่มให้มีคลอรีนอิสระคงเหลือไม่ต่ำกว่า 0.2 ppm. ตลอดเวลา

4. จัดให้มีผู้ดูแล เจ้าหน้าที่หรือผู้ดูแลควรได้รับการอบรมความรู้ในด้านการจัดการคุณภาพน้ำ เช่น วิธีการเติมคลอรีนในน้ำ การล้างถังที่ถูกต้อง การเฝ้าระวังคุณภาพน้ำด้วยเครื่องมือหรือชุดทดสอบภาคสนาม และ 5. มีการป้องกันสัตว์นำโรค นอกจากบริเวณดังกล่าวควรมีรั่วรอบขอบชิดแล้ว หากมีหลังคาคลุมควรมีการป้องกันพวกนก หนู เข้าไปทำรังหรือพักอาศัย เช่น มีตาข่ายกั้น ป้องกันนกไปทำรังหรืออาศัยเวลากลางคืน.