เมื่อวันที่ 5 ก.ค. 67 นายวิสูตร นาคขันทอง อายุ 58 ปี ผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำบนพื้นที่ 20 ไร่ หมู่ 4 ต.บางจะเกร็ง อ.เมือง จ.สมุทรสงครามใกล้กับดอนหอยหลอด กล่าวถึงปัญหาปลาหมอคางดำ ว่าระบาดเข้ามาในพื้นที่เกือบ 10 ปีแล้ว สร้างความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสและตนก็เริ่มจะหมดทุน ล่าสุดตนเลี้ยงกุ้งกุลาดำและปูทะเลในบ่อระบบปิด มีการผันน้ำทะเลเข้าบ่อ ปกติจะมีสัตว์น้ำธรรมชาติติดเข้ามาด้วย ถือเป็นวิถีชีวิตของเกษตรกรริมทะเลซึ่งเป็นเรื่องปกติ หลังจากปล่อยน้ำเข้ามาพักไว้ระยะหนึ่ง ก็ซื้อลูกกุ้งมาปล่อย 60,000 ตัว พร้อมปูทะเลจำนวนหนึ่ง เลี้ยงด้วยอาหารตามปกติ ผ่านไป 6 เดือน เปิดบ่อจับกุ้งลมแทบจับ เหลือกุ้งให้จับแค่ 10% นอกนั้นเป็นปลาหมอคางดำ ส่วนปูทะเลแม้จะใส่กระชังเลี้ยง แต่ก็ไม่วายถูกกัดก้ามแหว่งขาด้วนก็มี

นายวิสูตร กล่าวว่า 7-8 ปีก่อน ที่ปลาหมอคางดำยังไม่แพร่ระบาด บ่อเลี้ยงกุ้ง 20 ไร่นี้ ตนเคยจับกุ้งกุลาและปลาธรรมชาติได้ถึง 4-5 ตัน ปัจจุบันเป็นปลาหมอคางดำกว่า 2 ตัน ที่สำคัญ โรงงานไม่รับซื้อ เพราะตนใส่กากชา ตามที่มีผู้แนะนำว่า กากชาจะไปฝังในเหงือกปลาหมอคางดำตัวใหญ่ที่เป็นพ่อแม่พันธุ์ ทำให้หายใจไม่ออกและตายได้ ที่จับได้จึงต้องทำลายทิ้ง เพราะหากเอาไปทำเหยื่อปลากะพงหรือปูทะเล กากชาที่ปะปนจะทำให้ตายได้เช่นกัน ช่วงนี้จึงแก้ปัญหาแบบเอาตัวรอดไปก่อน โดยใช้วิธีอนุบาลลูกกุ้งและลูกปลากะพงที่ซื้อมาในกระชังประมาณ 1 เดือน เลี้ยงอาหารเต็มที่จนตัวโตจึงปล่อยลงบ่อเลี้ยง จะได้ไม่เป็นเหยื่อให้ปลาหมอคางดำไล่จับกินได้ง่ายๆ แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก เพราะลูกปลาหมอคางดำเกิดเร็วมาก ขนาดพ่อแม่พันธุ์จะตาย ยังพ่นไข่ที่อมในออกมา ไม่นานไข่ปลาจะฝักตัวเกิดลูกปลาเต็มบ่ออีกเหมือนเดิม

นายวิสูตร กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาตนหาวิธีกำจัดปลาหมอคางดำมาหลายวิธีแล้ว เช่น ซื้อปลากะพงขนาด 3 นิ้ว มาปล่อย 10,000 ตัว หมดเงินไป 350,000 บาท เพื่อจะให้กินลูกปลาหมอคางดำ แต่สุดท้ายก็สู้ไม่ไหว เพราะปลากะพงบางตัวที่โตช้า ก็เป็นเหยื่อให้กับปลาหมอคางดำที่ตัวใหญ่เช่นกัน พอ 6 เดือนเปิดบ่อ เหลือปลากะพงให้จับแค่ 5,000 ตัว น้ำหนัก 3 ตัน หรือ 3,000 กิโลกรัม แถมน้ำหนักปลากะพงยังหายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ เหลือตัวละ 7-9 ขีด ทั้งที่ควรจะหนักตัวละ 1 กิโลกรัมขึ้นไป จับขายก็ได้แค่ทุนคืน แต่ขาดทุนทั้งค่าอาหารและค่าไฟฟ้าที่ใช้ปั่นออกซิเจนในบ่ออีก

ส่วนกรณีจะผลักดันให้การกำจัดปลาหมอคางดำเป็นวาระจังหวัดนั้น นายวิสูตร บอกว่า ตนเห็นด้วยอย่างยิ่ง และควรจะเร่งดำเนินการโดยเร็ว เพราะข่าวว่าตอนนี้ปลาหมอคางดำแพร่ระบาดไปภาคใต้แล้ว ที่อยากให้ภาครัฐเร่งช่วยเหลือตอนนี้ก่อนคือ สนับสนุนปลากะพงตัวโตขนาด 3 นิ้วขึ้นไป แจกผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพื่อนำมาปล่อยในบ่อเลี้ยง ให้ไล่ล่ากินปลาหมอคางดำ และขอให้รัฐช่วยลดค่าไฟฟ้า ตอนนี้แต่ละเดือนค่าไฟฟ้าที่ใช้ปั่นออกซิเจนในบ่อเลี้ยงกุ้งสูงมาก อีกทั้งอยากให้กรมประมง วิจัยไข่ของปลาหมอคางดำด้วยว่าจะทำอย่างไรถึงกำจัดได้ทั้งตัวพ่อแม่พันธุ์และไข่ ทำยังไงให้ไข่ฝ่อตายไปด้วย เพื่อการกำจัดปลาหมอคางดำ จะได้ลดลงแบบได้ผล.