เมื่อวันที่ 5 ก.ค. นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่มิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงประชาชนคนไทยโอนเงินมูลค่าเสียหายนับแสนล้านบาทนั้น ล่าสุด คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ยึดทรัพย์เป็นของกลางแล้ว ดังนี้ เงินสดรวมได้ประมาณ 6,000,000,000 บาท อสังหาริมทรัพย์อีกจำนวนหนึ่ง ประมาณ 4,000,000,000 บาท รวมกันแล้วประมาณ 10,000,000,000 บาท สำหรับทรัพย์สินยึดจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ต้องเฉลี่ยทรัพย์คืนให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหายหลังจาก ปปง.ยึดทรัพย์มาแล้ว โดยจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ภายใน 90 วัน เพื่อให้ประชาชนมายื่นคําร้องขอรับการคุ้มครองสิทธิ ซึ่งผู้เสียหายจะได้รับเงินชดใช้คืนเมื่อศาลมีคําสั่งหรือคําพิพากษาถึงที่สุดให้ผู้เสียหายได้รับเงินชดใช้คืน แทนการสั่งให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน

นายคารม กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ สามารถยื่นคําร้องขอคุ้มครองสิทธิผ่าน 3 ช่องทาง ดังนี้ 1.ยื่นด้วยตัวเองที่สํานักงาน ปปง. 2.ยื่นทางไปรษณีย์ลงทะเบียนส่งถึงสำนักงาน ปปง. เลขที่ 422 ถนนพญาไท แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โดยวงเล็บ 2 มุมซองด้านบนว่า “ส่งแบบคําร้องขอ คุ้มครองสิทธิรายคดี….” 3.ยื่นทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางเว็บไซต์ https://khumkrongsit.amlo.go.th และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 02-219-3600 หรือโทร. 1710

นายคารม กล่าวว่า สำหรับผลการแจ้งความออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ https://www.thaipoliceonline.com ตั้งแต่วันที่ 1-30 มิ.ย. 2567 มีจำนวน 35,379 เรื่อง มูลค่าความเสียหายรวม 3,437,689,020 บาท เฉลี่ย 114,589,643 บาทต่อวัน ขณะที่ผลการอายัดบัญชีมีจำนวน 10,713 บัญชี ยอดขออายัด 1,404,539,300 บาท ยอดอายัดได้ 719,057,785 บาท สำหรับประเภทคดีออนไลน์ที่มีการแจ้งความมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ 1.หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ (ไม่เป็นขบวนการ) มูลค่าความเสียหาย 160,929,368 บาท 2.หลอกให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ มูลค่าความเสียหาย 583,012,851 บาท 3.หลอกให้กู้เงิน มูลค่าความเสียหาย 145,768,931 บาท 4.หลอกให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มูลค่าความเสียหาย 1,427,157,157 บาท และ 5. หลอกให้โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่น มูลค่าความเสียหาย 235,952,533 บาท.