เมื่อวันที่ 4 ก.ค. ที่รัฐสภา นายสรวงศ์ เทียนทอง สส.สระแก้ว และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ระบุว่ากรณีของนายชาญ พวงเพ็ชร์ ว่าที่นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานี มี 2 แนวทาง คือให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย หรือให้นายชาญออก ว่า นายปิยบุตรพูดเกินเลยไปแล้ว เพราะสิ่งที่นายชาญโดนอยู่ตอนนี้เป็นคดีเก่า และการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี ได้ผ่านไปแล้ว ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้คือรอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) รับรอง สำหรับคดีของนายชาญ ก็ต้องว่าไปตามกระบวนการยุติธรรมของศาล เพราะฉะนั้น ตนมองว่าการออกมาให้ข้อมูลต่างๆ น่าจะเป็นการละเมิดอำนาจศาล

เมื่อถามว่าหากในที่สุดศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 1 มีคำสั่ง จะสร้างปัญหาการทำงานในทีมหรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมองว่าขั้นตอนอยู่ในกระบวนการของศาล หากจะให้ศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ต้องมีคนร้อง เพราะวันที่ศาลประทับรับฟ้อง ไม่มีคำสั่งห้อยท้ายว่าให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้ย้ำถึงเรื่องนี้ว่าต้องมีผู้ร้องให้ศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ จึงขึ้นอยู่กับกระบวนการหลังการรับรองผลแล้วว่ามีคนไปร้องหรือไม่ และหากมีคนร้อง จะใช้เวลานานเท่าไหร่ ทั้งนี้ ถ้านายชาญได้เป็นนายก อบจ. แล้ว เข้าไปแต่งตั้งรองนายก อบจ. แต่หากศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ รองนายก อบจ. สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือในกรณีที่ไม่ได้แต่งตั้งใครเลย แต่ กกต. รับรองนายชาญเป็นนายก อบจ. แล้ว ปลัด อบจ. เป็นผู้รักษาการแทน และตัวนายชาญก็ต่อสู้คดี

เมื่อถามอีกว่ากรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย อ้างว่าไม่อยากเสี่ยง และระบุว่าจะเดินตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอระบุว่าถ้านายชาญรับตำแหน่งแล้ว ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที แต่ถ้าไม่หยุด ก็ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตั้งกรรมการสอบหยุดปฏิบัติ ถ้าผลสอบออกมาก็ปลดทันที นายสรวงศ์ กล่าวว่า แต่ละจังหวัดผู้ที่มีอำนาจสูงสุดคือผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนการปฏิบัติหน้าที่ของ อบจ. องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือข้าราชการในแต่ละจังหวัด หากเห็นว่ามีการทุจริตหรือมีผู้ไปร้อง แล้วเป็นหน้าที่ของผู้ว่าฯ ที่จะออกหนังสือเพื่อสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ นี่เป็นเรื่องปกติของกระทรวงมหาดไทยอยู่แล้ว และนายอนุทินกำกับกระทรวงมหาดไทย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ท่านจะสอบถามคณะกรรมการกฤษฎีกา แต่ที่ออกมาให้ความเห็นคือเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา

นายสรวงศ์ กล่าวอีกว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นองค์คณะ ถ้าจะออกคำตอบมาไม่เหมือนกับเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็ได้ แต่หากออกมาเหมือนแล้วมีการปฏิบัติอย่างไร เราน้อมรับ และนายชาญต้องยอมรับสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น แต่ตนอยากให้แยกออกจากกันระหว่างเรื่องของการเลือกตั้งกับการปฏิบัติหน้าที่

เมื่อถามว่ามีกระแสมีการเรียกร้องให้พรรคเพื่อไทย แสดงสปิริตด้วยการขอโทษประชาชน และให้นายชาญลาออก นายสรวงศ์ กล่าวว่า นายชาญมีคุณสมบัติเป็นผู้สมัครนายก อบจ. 100 เปอร์เซ็นต์ และก่อนที่จะรับสมัคร เราก็ตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว ซึ่งก็ไม่มีอะไร มีแค่คดีติด และคดีติดตัวหากไปดูในสภา ก็มีคนที่มีคดีติดตัว แต่ตัวเองอยู่ในขั้นตอนการต่อสู้ และหากศาลสั่งว่ามีความผิดก็ต้องออก นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น

“นายชาญไม่ใช่กรณีแรก การที่พรรคเพื่อไทยส่งนายชาญไม่มีอะไรผิด เพราะนายชาญมีคุณสมบัติเป็นผู้สมัคร และ กกต. ก็รับรองเป็นผู้สมัครจนการเลือกตั้งเสร็จไปแล้ว ลองถามกลับกันหากคุณชาญแพ้ จะมีใครมาไล่บี้แบบนี้หรือไม่ ฉะนั้น ผมมองว่าต้องแยกแยะเรื่องของการเลือกตั้งและการปฏิบัติหน้าที่” นายสรวงศ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีความมั่นใจแค่ไหนว่านายชาญจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ นายสรวงศ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็นนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ หรือนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรค คิดตรงกันว่าทุกอย่างในตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของศาล ไม่ว่าจะคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หรือคณะกรรมการกฤษฎีกา ตนอยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย หากศาลออกมาว่าให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ก็หยุดปฏิบัติหน้าที่โดยอัตโนมัติ เราก็ไม่ติดอะไร พร้อมน้อมรับคำสั่งของศาล

เมื่อถามว่าหากนายชาญ ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ จะทำให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า ไม่มี เพราะจะหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ต่อเมื่อ กกต. รับรองนายชาญเป็นนายก อบจ. แล้ว และตอนนี้การเลือกตั้งได้ผ่านมาแล้ว ซึ่งต้องรอ กกต. ถ้า กกต. เห็นว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาไม่สุจริต ไม่ยุติธรรม และไม่มีการรับรองเกิดขึ้นนั้น ก็จะเป็นสิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องกังวล แต่ตอนนี้การเลือกตั้งผ่านไปแล้ว จบลงแล้ว หลังจากนั้นจะเป็นเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่