ซึ่งไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย โดย นายธนพร ศรียากูล ผอ.สถาบันวิเคราะห์การเมืองและนโยบาย มองว่า ใครที่คาดหวังกกต.จะเลื่อนไปเป็นปี ทำให้ สว.ชุดนี้ รักษาการไป คงไม่เป็นไปตามนั้น เพราะข้อร้องเรียนต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นเรื่อง 1.คุณสมบัติเฉพาะตัวผู้สมัคร สว. เช่น อาชีพไม่ตรงปก แต่คงไม่มีเหตุทำให้การเลือก สว.ทั้ง 200 คน เป็นโมฆะ 2. การบล็อกโหวต การฮั้ว สว. ซึ่งตามข้อเท็จจริง การที่ กกต.ไปลงโทษผู้กระทำผิด อยู่ที่พยาน หลักฐาน ไม่เช่นนั้น กกต.จะโดนแบบกรณี นายสุรพล สส.เชียงใหม่ (นายสุรพล เกียรติไชยากร อดีต สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ที่ กกต.ให้ใบส้ม แต่ต่อมา ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาว่า ไม่ผิด และสั่งให้กกต.ต้องชดใช้ค่าเสียหาย) กกต.ก็มีความเสี่ยง

ดังนั้นการจะบอกใครผิด ไม่ผิด กระบวนการทางกฎหมาย ต้องมีพยาน หลักฐาน !!

เท่ากับว่า อนาคต สว.ใหม่ 200คน ยังลูกผีลูกคนและต้องลุ้นกันหนักไม่แพ้กัน  เพราะ กกต.ยังไม่สามารถประกาศรับรองรายชื่อได้ภายในเดดไลน์ที่กำหนด วันที่ 3 ก.ค. 2567 ขอเวลาเคลียร์ คำร้องกว่า 614 เรื่อง ที่ยื่นคัดค้านกระบวนการเลือก สว. ไม่โปร่งใส ตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด และประเทศ

ขณะเดียวกันตอนนี้จะเห็นอารมณ์กล้าๆ กลัวๆ คนที่ “บูลลี่” ว่าที่ สว. 200 คน  แต่ไม่อยากให้บานปลายถึงขั้นล้มกระดานกระบวนการเลือก สว. แม้มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาเยอะ  หรือจะมีข้อกังวล คุณสมบัติผู้สมัคร ปมการทุจริต ฮั้ว บล็อกโหวต ยังเป็นเรื่องต้องไปพิสูจน์ทราบกันอีกนาน และต้องมีพยาน หลักฐาน ที่ชัดเจนแล้วค่อยไปตามสอยทีหลัง หากปรากฏข้อมูลหลักฐานชัด โดยเฉพาะการทุจริตซื้อเสียง กกต. ระบุเองต้องเห็นภาพ พยาน หลักฐาน การให้เงินหรือแลกประโยชน์อื่นใดอย่างชัดเจน

รวมไปถึงเรื่อง การแนะนำตัวผู้สมัคร การรวมกลุ่มทำได้ เพราะศาลปกครอง มีคำสั่งคุ้มครองให้ผู้สมัครทำได้ แต่ กกต.ก็เน้นย้ำ ต้องไม่มีการแลกคะแนน โดยมีผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง

ผลพวงของความผิดพลาดในการบริหารจัดการคุมกติกาของ กกต. ที่ พ่ายแพ้ลูกเขี้ยวของนักการเมืองอาชีพ เกิดปรากฏการณ์พิสดาร ทั้งปัญหาคุณสมบัติผู้สมัครไม่ตรงปก  การลงสมัครแต่ไม่เลือกตัวเอง ผลคะแนนเกาะกลุ่มไล่เลี่ยกัน  การเลือกเบอร์ตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย  สะท้อนให้เห็นผลคะแนนจัดตั้ง ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เหมือน “หนีเสือปะจระเข้”  หมดจาก “ยุค คสช.” วนลูปกลับมาเจอเล่ห์เหลี่ยม “พ่อมดการเมือง” ของจริง

ที่ ร่ายมนตร์สีน้ำเงินปกคลุมเก้าอี้ สว. ถึง 137 ที่นั่ง ยึดสภาสูง  ทำเอาพวกอกหัก ที่สายสีแดงได้มา 12 ที่นั่ง  สายสีส้ม 18 ที่นั่ง หรือพวกที่สถาปนา เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ที่ได้เข้ามาเพียงปลายฝุ่น  ไม่พอใจผลเลือก สว.ที่ “พายุสีส้ม” ไม่มาตามนัด พวกอกหัก เก็บอาการไม่อยู่ รุมถล่ม สว.สายเซราะกราว  แบบรายวัน

ซึ่งหากไม่มีอะไรผิดพลาดในสัปดาห์หน้า ก็จะเห็นโฉมหน้า สว.ป้ายแดง 200 คน เข้ารายงานตัวต่อสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา และสัปดาห์ที่ 3 ช่วงกลางเดือน ก.ค. จะเห็นประมุขสภาสูง  เต็งหนึ่ง “บิ๊กหมง” มงคล สุระสัจจะ อดีตอธิบดีกรมการปกครอง  นั่งตำแหน่ง ประธานวุฒิสภา  สายตรง “ครูใหญ่”

สิ่งที่ต้องจับตาหลังจากนี้ นอกจากตรวจสอบถ่วงดุล “สภาล่าง” แล้ว อำนาจ สว. ในการพิจารณาบุคคลเข้ามาดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระหลายองค์กร  และคงต้องจับจ้องไปถึงกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ สว. เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ต้องจับตาดูกันต่อไปในอนาคตด้วย

เพราะเมื่อ “สภาสูง” ถูกปกคลุมด้วยกลุ่มสีน้ำเงิน  ขณะที่ “สภาล่าง” มีกลุ่มสีแดง เป็นแกนนำเสียงข้างมาก  ในอนาคตจะเกิดภาวะการต่อรอง-ขบเหลี่ยมทางการเมืองกันหรือไม่?