เมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม กล่าวเปิดงาน Dinner Talk เนื่องในโอกาสครบรอบ 45 ปี การดำเนินงานบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ว่า กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญ และเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศตามวิสัยทัศน์ “IGNITE THAILAND : จุดพลัง รวมใจ ไทยต้องเป็นหนึ่ง” ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยได้จัดทำเป็นแผนดำเนินงาน เพื่อขับเคลื่อนนโยบายในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยให้เป็นที่ 1 ของภูมิภาค ยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบิน(Aviation Hub) ควบคู่กับการยกระดับท่าอากาศยานของไทยให้กลับมาติดอันดับ 1 ใน 20 สนามบินที่ดีที่สุดในโลกภายใน 5 ปี หลังจากประสบความสำเร็จในการผลักดันท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ(ทสภ.) ให้กลับไปติด 1 ใน 58 สนามบินที่ดีที่สุดในโลก ขณะที่ท่าอากาศยานดอนเมือง(ทดม.) คว้าอันดับ 1 ใน 10 สนามบินสายการบินต้นทุนต่ำ(โลว์คอส)ที่ดีสุดในโลก

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า ตัวเลขผู้โดยสารใน 5 เดือนแรกของปี 67 ตั้งแต่เดือน ม.ค.- พ.ค.67 มีผู้เดินทางเข้า – ออกผ่านท่าอากาศยานหลักของประเทศไทยประมาณ 52.16 ล้านคน เพิ่มขึ้น 20.28% เมื่อเทียบกับปี 66 ซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้โดยสารระหว่างประเทศกว่า 32.05 ล้านคน ถือเป็นสัดส่วนที่เยอะมากที่จะช่วยนำเม็ดเงินเข้ามาในประเทศ โดยผู้โดยสารสัญชาติหลัก ๆ ได้แก่ จีน อินเดีย เกาหลีใต้ รัสเซีย ญี่ปุ่น ทั้งนี้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวสร้างรายได้ให้กับคนไทยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนประชากร เนื่องจากรายได้หลักของคนไทยมาจากการท่องเที่ยว คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 2.3 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 70% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี

ด้านนายกีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. กล่าวว่า ในปีที่ 46 ทอท. ยังคงมุ่งมั่นสนองนโยบายรัฐบาลที่วางเป้าหมายผลักดันท่าอากาศยานของไทยให้ติดอันดับ 1 ใน 20 สนามบินที่ดีที่สุดในโลก และเพิ่มศักยภาพของสนามบินให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 150 ล้านคนต่อปี เพื่อก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน ตลอดจนทำให้การเดินทางของประชาชนได้รับความสะดวกสบาย รวดเร็ว และปลอดภัยในทุกมิติ ปัจจุบัน ทอท. อยู่ระหว่างเร่งดำเนินโครงการพัฒนาท่าอากาศยานให้มีความพร้อมรองรับการเดินทางในอนาคต โดยเฉพาะ ทสภ. ปัจจุบันมีผู้โดยสารมาใช้บริการมากที่สุดกว่า 40 ล้านคน อยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียดโครงการส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลักด้านทิศตะวันออก (East Expansion) คาดว่าจะเพิ่มพื้นที่รองรับผู้โดยสารได้อีก 81,000 ตารางเมตร

นายกีรติ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้อยู่ระหว่างเตรียมพร้อมเปิดให้บริการทางวิ่ง(รันเวย์) เส้นที่ 3 ในวันที่ 15 ก.ย.67 ซึ่งจะทำให้สามารถรองรับเที่ยวบินได้เพิ่มขึ้นจาก 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง(ชม.) เป็น 94 เที่ยวบินต่อชม. นอกจากนี้ได้วางแผนพัฒนา ทสภ. อย่างต่อเนื่อง โดยได้วางแผนดำเนินการก่อสร้างโครงการสำคัญต่างๆ ได้แก่ โครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารหลักด้านทิศตะวันตก (West Expansion) โครงการก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 2 (Satellite 2 : SAT-2) โครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้(South Terminal) และโครงการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 4 เมื่อทุกโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จคาดว่า ทสภ.จะสามารถรองรับผู้โดยสารได้ 150 ล้านคนต่อปี และรองรับเที่ยวบินได้ถึง 120 เที่ยวบินต่อชั่วโมง

นายกีรติ กล่าวต่อว่า ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ทำให้มีการเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับรัฐบาลมีนโยบายมาตรการ ให้กับนักท่องเที่ยวชาวจีนคาซัคสถาน สาธารณรัฐอินเดียและไต้หวัน รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยว ส่งผลให้ปริมาณการจราจรทางอากาศ ณ ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่งของ ทอท. ได้แก่ ทสภ., ทดม., ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย (ทชร.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) ในปีงบประมาณ 67 (เดือน ต.ค.66 – พ.ค.67) ฟื้นตัวจนเกือบจะเท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 โดยมีผู้โดยสารรวม 81.05 ล้านคน ฟื้นตัว 83.4% เมื่อเทียบกับช่วงปี 62 ก่อนเกิดโควิด-19 แบ่งเป็น ผู้โดยสารระหว่างประเทศ 48.95 ล้านคน ฟื้นตัว 85.8% และผู้โดยสารภายในประเทศ 32.09 ล้านคน ฟื้นตัว 80%

ขณะที่มีเที่ยวบินรวม 490,970 เที่ยวบิน ฟื้นตัว 80.9% แบ่งเป็น เที่ยวบินระหว่างประเทศ 274,410 เที่ยวบิน ฟื้นตัว 83.5% และเที่ยวบินภายในประเทศ 216,560 เที่ยวบิน ฟื้นตัว 77.9% โดยได้ประมาณการปริมาณการจราจรทางอากาศ ณ ท่าอากาศยาน 6 แห่งของ ทอท.อีก 5 ปี (ปี 72) คาดว่าจะมีผู้โดยสารประมาณ 170 ล้านคน และมีเที่ยวบินประมาณ 1 ล้านเที่ยวบิน และในอีก 10 ปี (ปี 77) คาดว่าจะมีผู้โดยสารประมาณ 210 ล้านคน และมีเที่ยวบินประมาณ 1.2 ล้านเที่ยวบิน ทั้งนี้ปัจจุบันปริมาณผู้โดยสารอินเดีย, ยุโรป และอเมริกา สูงกว่าตัวเลขเมื่อปี 62 ไปแล้ว สะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมการบินฟื้นตัวกับมาแล้ว ยังรอผู้โดยสารจีน ซึ่งขณะนี้กลับมาแล้ว 65% ส่วนอีก 35% คาดว่าจะกลับมาในปี 68 ซึ่งจะทำให้ปริมาณผู้โดยสารในภาพรวมกลับมาที่ 140 ล้านคนต่อปีเท่ากับปี 62.