เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2567 ที่มูลนิธิรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรม​ในสังคม​ น.ส.เอ​ (นามสมมุติ) อายุ 40 ปี ผู้เสียหาย และ ​ “ปุ๊กกี้” อดีตสมาชิกมูลนิธิเป็นหนึ่ง ที่ลาออกเมื่อช่วงต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ​เดินทางมาขอคำแนะนำจากทนายความ​ และ​แถลงความจริงกับสื่อ​ โดย​ ปุ๊กกี้ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมายอมรับว่าเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมูลนิธิเป็นหนึ่ง เพราะอยากเป็นบุคคลมีชื่อเสียง มีแสง เพื่อต่อยอดทำธุรกิจ แต่ต้องเป็นธุรกิจที่สุจริต ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีผู้ใหญ่คอยเตือนเสมอว่าไม่อยากให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับบุคคลคนนี้ คือ น.ส. ​อ​ แต่ยอมรับว่าไม่เชื่อเพราะไม่เคยเจอกับตัว ​และคอยปกป้องรักน้องมาตลอด และตนเป็นหนึ่งในการให้เงิน 100,000 บาท จัดตั้งมูลนิธิ แต่ต้องยอมรับว่าเป็นการให้โดยเสน่หา​ แม้จะไม่ได้เป็นประธานมูลนิธิหรือไม่ค่อยได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมากนัก เพราะจะมีแต่เขาคนเดียวที่คอยออกหน้า ยืนยันว่าที่ออกจากมูลนิธิก็ไม่ใช่เรื่องนี้

ปุ๊กกี้ เผยอีกว่า แต่เหตุผลที่จำเป็นต้องออก เพราะได้เจอกับตัวเอง เมื่อเขาสอนให้เราทำสิ่งไม่สุจริต คือเสนอให้ “ฮั้วประมูล” เพราะสามีตนมีคอนเน็กชั่นเกี่ยวกับการรับเหมา เพราะคิดว่าถ้าหากทำต้องส่งผลกระทบต่อครอบครัว โดยเฉพาะตัวสามี และยังต้องแบ่งสันปันส่วนว่าใครจะได้เปอร์เซ็นต์บ้าง​ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าสิ่งที่หลายๆ คนพูดเป็นความจริง จึงพาตัวเองออกมาจากมูลนิธิ

ส่วนประเด็นการซื้อวุฒิการศึกษา ยอมรับว่าเคยได้ยินจากปากของน้อง​ อ ตอนที่เขาบอกว่าจะซื้อให้สามี ราคา 150,000 บาท​ และยังทราบว่า เขาได้มีการซื้อขายวุฒิให้บุคคลอื่นอีก ​ซึ่งเรื่องนี้ตนมีคลิปเสียง ระหว่าง ซ้อลักษณ์ และอาจารย์ของมหาวิทยาลัยดังแห่งหนึ่ง ที่พูดถึงการซื้อขายวุฒิปริญญากัน

ปุ๊กกี้ เผยว่า อยากฝากถึงคนที่อยู่รอบตัว​น้อง อ​ อย่างเช่นทนาย​ และพิธีกรชื่อดัง ว่า ตนเคยอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นมาแล้ว ขอให้ทุกคนถอยออกมา​อย่าช่วยคนทำผิด​ เพราะตนก็ยังรู้สึกผิดกับผู้เสียหายที่นั่งอยู่ข้างๆ เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยให้เขาช่วยเหลือเขา ทั้งที่มีผู้เสียหายมาร้องเรื่องโกงแชร์​ด้วยเหมือนกัน​ ฉะนั้นจึงขอให้ตัวน้อง ​อ ยุติบทบาท​ มูลนิธิดังกล่าว​ แล้วเคลียร์ปัญหาให้จบก่อนที่จะไปช่วยเหลือสังคม ​เพราะตัวคุณยังไม่ดีพอที่จะทำดีเลย

น.ส.เอ กล่าวว่า ต้นรู้จักกับ อ จากน้องสาวเมื่อปลายปี 2560 ก่อนถูกชักชวนให้ร่วมเล่นแชร์ วงละ 100,000 จำนวน 40 คน ส่งเงินสัปดาห์ละ 2,200 บาท หลังร่วมเล่นแชร์ไปแล้วครั้งแรกก็ได้เงินพร้อมกำไรครบ หลังจากนั้นก็ชักชวนให้ร่วมเล่นแชร์อีกหลายวงและให้ร่วมลงเงินปล่อยกู้แจกดอกที่เขาตั้งขึ้นมา ซึ่งตนหลงเชื่อด้วยหน้าที่การงานและฐานะทางสังคมจึงลงเงินไป 488,000 บาท กระทั่งปลายปี 2561 เขาเริ่มไม่จ่ายเงินคืนตามที่ตกลงไว้

พอทวงถามไปก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่ากำลังจะลงเล่นการเมืองแล้วจะได้เงินสนับสนุนกว่า 10 ล้านบาทแล้วจะนำเงินมาคืนให้พร้อมดอกเบี้ย จนผ่านมาหลายปีก็ไม่เคยได้เงินคืน หลังจากนั้นตนพร้อมผู้เสียหายร่วม 10 คน ได้ไปเจรจากับเขาอีกครั้ง ก็บอกให้เอาเลขบัญชีทุกคนมาแล้วจะทยอยคืนเงินให้ แต่พอถึงเวลากลับได้เงินโอนคืนมาแค่คนละ 200-300 บาท ตนจึงเข้าไปแจ้งความดำเนินคดีในข้อหาฉ้อโกง ที่ สภ.สามพราน จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 2567 หลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไป ตนจึงเกรงว่าตอนนี้เขามีชื่อเสียงรู้จักคนใหญ่คนโตกลัวจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจึงมาร้องขอให้ทางมูลนิธิช่วยเหลือ