เมื่อเวลา 11.20 น. วันที่ 1 ก.ค. ที่ ศาลอาญากรุงเทพใต้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เดินทางมาตามนัดศาลเพื่อไต่สวนมูลฟ้องของโจทก์เป็นครั้งที่ 2 ในคดีที่ยื่นฟ้อง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า วันนี้ตนเดินทางมาตามนัดฟังคำไต่สวนของศาล จากเดิมที่ตนได้ทำการฟ้อง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ในความผิดฐานหมิ่นประมาท จงใจใส่ความต่อบุคคลที่สามโดยการโฆษณา โดยความผิดมี 3 กรรม ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้เดินทางมาตามคำนัดศาลเช่นกัน แต่ทนายของ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ได้ทำการเลื่อนนัด และในวันนี้ตนทราบจากทนายของตนว่าทางทนายของคู่กรณีก็ได้ทำการขอเลื่อนนัดอีกครั้ง ตนเดินหน้าต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม สิ่งใดที่กระทบสิทธิตนจะดำเนินการทั้งหมด ทั้งในเรื่องของการกลับเข้าข้าราชการตำรวจ ตนก็ยื่นตามกระบวนการยุติธรรมไปแล้ว และยื่นคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ (ก.พ.ค.ตร.) แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการเอกสารต่างๆ

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ เลื่อนนัดฟังคำไต่สวนของศาลมาสองครั้งจะมีนัยอะไรหรือไม่นั้น พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ให้นักข่าวคิดเอง ตนไม่ขอตอบ และตนไม่หนักใจ เพราะตนทำทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมา การใช้กฎหมายต้องใช้ด้วยความเป็นธรรม ไม่ได้ใช้กฎหมายเพื่อรักษากฎหมาย ซึ่งสิ่งที่ตนกำลังตามหาอยู่คือตามหาความยุติธรรม ส่วนจะมีการเจรจาไกล่เกลี่ยกันหรือไม่นั้น ระบบของศาลมีการให้นัดไกล่เกลี่ยกันอยู่แล้ว แต่จนถึงวันนี้ตนยังไม่ได้พบใคร การไกล่เกลี่ยจึงยังไม่เกิดขึ้น ยืนยันว่าทุกอย่างต้องพูดคุยเจรจา ไม่มีสงครามใดที่รบกันจนถึงฆ่ากันตาย ทั้งนี้สำหรับทุกคดี ตนสามารถถอนฟ้องได้ รวมไปถึงคดีที่ยื่นฟ้องกับพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. ต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตนก็สามารถถอนฟ้องได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับ ป.ป.ช. ด้วยว่าจะพิจารณาอย่างไร และในส่วนเรื่องหนังสือคำแย้งของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ นั้น ตนกำลังดำเนินการอยู่ คาดว่าไม่ทันในวันพรุ่งนี้ เพราะต้องอ่านรายละเอียดอีกเยอะ

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้วตนได้ไปออกรายการหนึ่ง มีโอกาสได้พูดคุยกับ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรอง ผบช.น. หรือผู้การแต้ม ที่ตนมีความเคารพความเป็นครูบาอาจารย์ ยืนยันตนไม่ได้ก้าวร้าว แต่เนื่องจากกระทบกับสิทธิตน จึงขออนุญาตยื่นฟ้อง

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ในส่วนที่หลายคนทักท้วงการยื่นฟ้องของตนว่าให้รอผลของ ก.พ.ค.ตร. ก่อนแล้วค่อยเดินหน้าฟ้องทีหลังนั้น ตนมองว่าตนโดนกระทำมาเยอะและได้ฟังมานาน หากตนไม่พูดบ้าง สังคมจะสับสน ยืนยันตนเชื่อมั่นใน ก.พ.ค.ตร. เนื่องจากคณะกรรมการ ก.พ.ค.ตร. แต่ละท่านที่มาเกษียณไปแล้วและมีอายุเยอะ ดังนั้นจึงคาดว่าการมาทำงานท่านไม่หวังอะไร มาทำงานเพื่อชื่อเสียงของตัวท่าน และรักษาระบบคุณธรรมขององค์กรเพื่อให้สังคมดีขึ้น

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ามีโอกาสที่จะได้มติ 6 ต่อ 0 จาก ก.พ.ค.ตร.หรือไม่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตนตอบไม่ได้ และคาดว่ากำหนดการพิจารณาจะไม่มีการเลื่อนแล้ว และในส่วนที่หลายคนมองว่าหากผล ก.พ.ค.ตร. ออกมาเป็นคุณแก่ตน แต่ตนได้ดำเนินการไล่ฟ้อง ก.ตร. หมด เมื่อถึงเวลากลับไปนั่งขึ้นเป็นแคนดิเดต คิดว่าจะมีใครเลือกตนหรือไม่นั้น ตนมองว่าเลือกหรือไม่เลือกก็ไม่เป็นไร ตนเป็นอะไรก็ได้แต่เพียงต้องถูกต้องและเป็นธรรม และสัปดาห์นี้ตนจะฟ้องใครบ้างนั้น ขอตอบเป็นวันๆ เพราะการทำเอกสารต้องรอบคอบ หากรีบเร่งมากไปจะเกิดข้อผิดพลาด แต่ยืนยันว่าฟ้องแน่ และยังไม่ตัดนายกฯ และ 2 นายตำรวจที่จะฟ้องด้วย ซึ่งตอนนี้กำลังดูรายละเอียดว่าส่วนไหนที่เข้าข่ายความผิดก็ต้องดำเนินการ อย่าง ก.ตร.ที่มีส่วนในการลงมติเรื่องคำสั่งให้ตัวเองออกจากราชการไว้ก่อน เมื่อมาดูรายละเอียดใหม่ ก็เห็นว่าไม่ได้มีการลงมติชี้ผิดถูก 12 ต่อ 0 อย่างที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้ ส่วนนี้ก็ต้องมาพิจารณาอีกครั้งว่าจะฟ้องดำเนินคดีหรือไม่ ซึ่งทุกอย่างต้องทำอย่างละเอียดรอบคอบ

ทั้งนี้ ตนยืนยันไม่นำอารมณ์มาเกี่ยวกับเรื่องการทำงาน เพราะตนโดนมาเยอะตั้งแต่เด็กๆ จนชินแล้ว ตนจึงทำด้วยอารมณ์ไม่ได้เพราะเกรงว่าจะเดือดร้อนตัวเอง.