เรียกได้ว่าเป็นกระแสที่กลายเป็นไวรัลอย่างมากอยู่ในขณะนี้ หลังเมื่อวันที่ 1 ก.ค. 67 มีการแชร์โพสต์จากผู้ใช้ [email protected] ได้โพสต์คลิปแชร์อุทาหรณ์ หลังถูกที่ทำงานเก่าฟ้อง 14 ล้าน เพราะไปลบงานที่เจ้านายสั่งให้ทำ แล้วไม่มีการจ่ายเงินตามที่ได้ตกลงกันไว้

โดยเจ้าของคลิปเล่าว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยโดนจ้างงาน แล้วเจ้าของงานไม่ได้จ่ายเงิน เขาจึงลบงานไม่ให้ใช้ แต่ผลที่ตามมาคือ เขานั้นโดนฟ้อง 14 ล้าน เรื่องเกิดขึ้นเมื่อประมาณช่วงปี 2564 เจ้าของโพสต์บอกอีกว่า “ถ้าน้องๆ ที่เพิ่งเรียนจบ แล้วมีความสามารถ แล้วเจอบริษัทปากหวานใช้ให้เราทำโน้นนี่ พอวันหนึ่งถ้าเราทวงข้อตกลงไป แล้วไม่ได้ตามที่คุยกันไว้ เราจะรู้สึกว่าอันนั้นมันคืองานของเรา แล้วถ้าเราลบ อันนั้นผิด แต่ถ้ารู้สึกว่าเราโดนจ้างงานแล้วไม่แฟร์ สิ่งที่ควรทำคือแจ้งกรมแรงงาน”

เจ้าของคลิปเล่าว่า ผมไปทำงานบริษัทแห่งหนึ่ง รายได้บริษัทปีหนึ่งเป็นหลัก 100 ล้าน ช่วง 3 เดือนแรก ผมอยากลาออก เพราะบริษัทไม่ค่อยแฟร์กับพนักงานเท่าไหร่ เพราะพนักงานทำงานล่วงเวลาจะไม่มีโอทีให้ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ไม่ได้หยุด และไม่ชดเชยด้วยความที่เขาเรียนจบด้วยวุฒิ ปวช. เป็นงานคอมพิวเตอร์ประมาณหนึ่ง พอมีความรู้เรื่องโซเชียล กระทั่งช่วง 20-21 ปี จึงได้กลับมาทำงานที่ จ.สระแก้ว กับบริษัทแห่งหนึ่ง (ไม่ใช่บริษัทล่าสุด) เพราะบริษัทที่ทำอยู่ล่าสุด เขาดีกับผมมากที่สุด

ต่อมา เขาก็จ้างให้ผมอยู่ตำแหน่งฝ่ายไอที (การตลาด) มีหน้าที่ยิงโฆษณา เฟซบุ๊ก ยูทูบ ทำเว็บไซต์สำเร็จรูปเป็น พอผมอยู่ได้เกือบปี ผมก็อยากลาออกอีก เพราะเห็นว่าไม่ค่อยแฟร์ เหมือนตกลงเรื่องยอดขาย จนถึงยอดจำนวนหนึ่งจะอัดฉีดให้ แต่พอทำได้ถึงก็ขยับยอดไป โดยอ้างว่าเดี๋ยวจะเพิ่มเงินให้อีก ซึ่งทุกคนก็ไม่โอเค และเงินเดือนก็ออกช้า

จนกระทั่งช่วงปลายปี ช่วงเดือนธันวาคม ปี 2563 เขากำลังปรับปรุงออฟฟิศใหม่ และเขาเห็นผมทำโปรแกรมตัวหนึ่งมา ซึ่งเป็นโปรแกรมที่เขียนสูตรบนเอกซ์เซล เขาโยนงานให้ผมงานหนึ่ง เป็นการแยกข้อมูลว่า ลูกค้าที่ส่งให้ธนาคารมันมีประเภทไหนบ้าง ซึ่งใช้เวลาประมาณครึ่งวัน และแยกประเภทได้สำเร็จ แล้วนายจ้างก็ให้ไปคิดระบบหน่อยว่าจะทำยังไงดี ผมก็ไปนำเสนอเขาไป แล้วช่วงปลายปีเป็นช่วงที่ผมอยากออกอยู่แล้ว เพราะผมรู้สึกเงินเดือนก็ไม่ได้เยอะและถูกหักอย่างเดียวเลย

ต่อมา เหมือนเขาจะรู้ว่าผมอยากออก เขาก็เสนอว่า ให้เขียนโปรแกรมที่พัฒนาองค์กรได้ เดี๋ยวเขาจะซื้อโปรแกรมผมเลย (ช่วงเดือนธันวาคม) ซึ่งในใจผมตอนนั้นคิดว่าซื้อโปรแกรมคงหลักพัน ผมก็ตั้งใจทำจนถึงเดือนมกราคมก็เสร็จ ไม่ถึงเดือน เป็นโปรแกรมงานเขียนฝ่ายขายง่ายๆ เช่น ลูกค้ามาเดือนหนึ่ง 1,000 คน มาซื้อสินค้า อนุมัติกี่คน ยกเลิกเท่าไหร่ และลูกค้าที่ดำเนินการมีอยู่เท่าไหร่ ซึ่งผมเขียนไว้ 3 โปรแกรม เช่น โปรแกรมสรุปยอดขาย คือแค่ทุกคนกรอกข้อมูล เดี๋ยวโปรแกรมจะบอกเองว่าเดือนนี้คุณขายอะไรบ้าง ประเภทไหนบ้าง กลุ่มตลาดในจังหวัดมีประเภทไหนบ้าง เขาก็ชอบ ผมจึงถามเรื่องที่เขาบอกว่าจะซื้อ เขาก็บอกใจเย็นๆ ทำให้ดีก่อน ผมก็คิดว่าเดี๋ยวเขาคงจ่ายก็พัฒนาต่อ เพราะโปรแกรมมันก็ใช้ได้แล้ว หน้าตามันเหมือนเอกซ์เซลทั่วไปที่คนกรอก

จนกระทั่ง ผมทำโปรแกรมตั้งแต่ มกราคม มาถึงเดือน เมษายน จากโปรแกรม 3 ตัว ก็ผุดขึ้นมาเป็น 9 ตัว (เยอะมาก) ซึ่งเป็นโปรแกรมต่างๆ ที่สำคัญ ผมจึงเอาไปเสนอว่าโปรแกรมเรียบร้อยหมดแล้ว ผมถามเขาจะซื้อโปรมแกรมยังไง เพราะโปรแกรมจะรันผ่านกูเกิลชีทบนกูเกิลไดร์ฟ ซึ่งกูเกิลไดร์ฟเป็นชื่อจริงผม (สมัยเรียน) เพราะตกลงกันแล้วว่าจะซื้อเป็นชื่อของผม เขาก็บอกเดี๋ยวเขาดูให้ ผมก็ทำอะไรไม่ได้ ผมจะไปทำหนังสือทวงก็ไม่ได้ เพราะเราเป็นลูกน้องเขา (กินเงินเดือนอยู่) แต่ว่างานตรงนี้มันเป็นงานที่เพิ่มขึ้นมา ที่ต้องได้เงินเพิ่มตามตกลง (ตอนนั้นมีงานประจำอยู่แล้ว) ส่วนงานที่ต้องดูแลข้อมูลหลังบ้านที่ผมสร้างขึ้นเพื่อขายให้เขา ในใจผมว่าคงไม่ได้แล้ว จนมาถึงช่วงปลายปี ช่วงประมาณเดือนกันยายน ช่วงนั้นผมรู้สึกว่าเรื่อยๆ อยู่ได้ก็อยู่ เขามาบีบเอางานผมว่า ให้ผมเอางานขึ้นไดร์ฟให้เขา แต่ตอนนั้นผมโดนถอดงานออกเกือบหมดทุกอย่างแล้ว เหมือนโดนลอยแพ คือแล้วที่ตกลงซื้อขายกันล่ะ คือบังคับให้ผมเอางานขึ้นแล้วจะไม่จ่ายเงิน เหมือนหลอกให้ผมทำงานฟรี ผมมีความรู้สึกว่ามันไม่แฟร์

นอกจากนี้ เจ้าของคลิปยังฝากถึงน้องๆ ว่า ถ้าเกิดมีคนจ้างงานเรา ให้ทำอะไรก็แล้วแต่ แล้วผิดนัด (ถ้ารู้สึกว่ามีมูลค่าเยอะ) ซึ่งสามารถแจ้งกรมแรงงานได้ เพราะว่านายจ้างควรชดใช้ แต่เราควรเก็บหลักฐาน หรือทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ แต่ตอนนั้นผมไม่มีความรู้เรื่องนี้ บอกเลยว่าพลาดมากๆ เพราะว่าอะไรที่อยู่ในไลน์โดนลบหมดเลย หลังจากนั้นเขาบังคับให้ผมเอางานขึ้นไดร์ฟให้หมด ผมก็บอกว่ามันต้องใช้เวลา มันจะมอบสิทธิไม่ได้ มันคนละโดเมนกัน เขาก็ยังบอกทำให้หน่อย ตอนแรกผมไม่คิดอะไร แต่ผมรู้สึกว่าอยู่ไม่ได้แล้ว เขาบีบเอางานผมไม่พอยังไม่จ่ายเงินชดใช้อีก และผมก็ไม่ได้ดีลงานที่ไหนไว้ เพราะว่าตอนนั้นผมยกเลิกดีลไว้แล้ว ผมจึงตัดสินใจออกจากบริษัทไปเลย แล้วดีดทุกคนที่อยู่ในไฟล์งานของผมออก แต่ว่างานยังอยู่ เท่ากับว่าทุกคนไม่สามารถใช้งานของผมได้ แต่ผมมีข้อมูลเก็บอยู่บนเว็บไซต์ (ดีดสมาชิกออก) เขาก็ติดต่อข่มขู่มาทางคนรอบข้าง และยังมีคนมาข่มขู่ผม

โดยเรื่องราวนี้กลายเป็นคดีไป มีการลงบันทึกประจำวันไว้ เพราะเขาไม่ยอม เขาบอกว่าเขาเสียหาย ตอนนั้นผมคิดว่าเขาคงกลัวผมเอาข้อมูลเขาไปขาย ผมก็มั่นใจว่าผมไม่ผิด เพราะว่ามันเป็นของที่ผมสร้างไว้ และผมควรจะได้คืนในเมื่อเขาไม่ได้ซื้อ จากนั้นประมาณ 3 เดือน ก็ยังเงียบอยู่ (ตอนนั้นผมทำงานการตลาดให้อีกที่) เข้าเดือนที่ 4 ผมไปสมัครงานกับบริษัทคู่แข่งเขา ตอนที่เขาแจ้งความ เขาไปลงบันทึกประจำวันไว้วันที่ 23 กันยายน จากนั้นวันที่ 27 หรือ 29 กันยายน ผมก็เอาหลักฐานไปหาพนักงานสอบสวน เพราะผมบริสุทธิ์ใจ แต่ตำรวจไม่ดูอะไรเลย บอกให้ผมยอมรับอย่างเดียว เจ้าของคลิปยังบอกอีกว่า “ถ้าคุณไม่ได้ทำผิด คุณอย่าบอกยอมรับเด็ดขาด ซึ่งคุณต้องปฏิเสธ” ซึ่งในขณะที่ผมทำงานกับบริษัทคู่แข่งเขา ผมยืนยันไม่ได้เอาข้อมูลไปเปิดเผยเด็ดขาด เพราะว่าอะไรผิดอะไรถูก

โดยตอนนั้นมีตำรวจโทรฯ มาหาผมถามว่า ผมได้ไปลบข้อมูลบริษัทไหม แค่ยอมรับไป มันไม่มีอะไรหรอก แค่ชดใช้ค่าเสียหายไปก็จบ ซึ่งความจริงอย่าไปยอมรับ (ถ้าไม่ผิดอย่าไปยอมรับ) ไปสู้กันในชั้นศาล ถ้ายอมรับคือจบเลย เพราะสู้ยังไงก็แพ้คดี ซึ่งผมก็รอหมายเรียก พอผมได้หมายเรียกฉบับแรก ผมก็ไปให้การตามปกติ พอหมายเรียกที่ 2 ผมก็รอขึ้นศาล ก่อนไปสู้กันในชั้นศาลก็นาน อัยการเลื่อนส่งฟ้องประมาณ 4 รอบ พอไปสู้ที่ชั้นศาล ผมก็เตรียมหลักฐานไปสู้เรื่องที่เขาให้งานผมทำแล้วไม่จ่ายค่าจ้าง ในตอนนั้นเขาให้ไปไกล่เกลี่ย ซึ่งสิ่งที่เขาได้ฟังแล้วระคายหูมาก เพราะเขากับผมเกิดการจ้างงานกันจริงๆ เขาอ้างว่าไม่ได้พูด ผมเป็นคนทำเอง พอขึ้นศาล ศาลก็สรุปมาคำนึงบอกว่า ผมไปให้การว่าไม่ได้ลบ แต่ไปดีดให้พนักงานเขาใช้งานไม่ได้ หมายความว่าทำให้เขาเกิดความเสียหาย แต่เขาจ้างงานเราแล้วไม่จ่ายค่าจ้าง เราไปเรียกร้องเขาได้ แต่ที่ผมทำให้เขาใช้งานไม่ได้จนเกิดความเสียหาย อันนี้ผิดอาญาแรง แต่ที่เขาผิดสัญญาจ้างผม คือผิดแค่แพ่ง

ต่อมา สรุปเขาเรียกผมมา 14 ล้าน ศาลมองว่าเยอะเกินไป เขาจึงลดให้เหลือ 7 ล้าน ศาลก็มองว่ามันแพงอยู่ดี เขาเรียกผมเหลือ 2 ล้าน ซึ่งศาลเห็นว่าเป็นตัวเลขที่เหมาะสม ผมก็แย้งเรื่องค่าใช้จ่ายโปรแกรมของผม ศาลก็ให้เคลียร์กันเลย แล้วเอาไปหักลบกับ 2 ล้าน เบ็ดเสร็จเหลือ 1.5 ล้าน ทนายก็ต่อรองจนจบที่ 1.2 ล้าน สุดท้ายแพ้คดี รอลงอาญา 2 ปี และต้องใช้หนี้เขา เดือนละ 4,000 บาท

อย่างไรก็ตาม เจ้าของโพสต์ยังบอกว่า “อย่าไปไว้ใจใครมากๆ บางคนเขามาหาผลประโยชน์จากเรา” อีกด้วย..

ขอบคุณข้อมูล : @bas.tec
คลิปเพื่อชมคลิป