นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงคมนาคม อยู่ระหว่างปรับรูปแบบโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมทะเลอ่าวไทย-อันดามัน (ชุมพร-ระนอง) หรือโครงการแลนด์บริดจ์ให้มีความเหมาะสม และมีศักยภาพสูงสุด เพื่อตอบสนองต่อผู้ลงทุน และประชาชนในพื้นที่ ภายหลังจากก่อนหน้านี้ได้เดินทางไปโรดโชว์โครงการฯ และรับฟังความคิดเห็นจากนักลงทุนประเทศต่างๆ และประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 67 หรือประมาณ เดือน ก.ค.-ก.ย. 67 ก่อนเข้าสู่กระบวนการอื่นๆ ต่อไป

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า คาดว่าจะเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ หรือ พ.ร.บ.SEC เพื่อขับเคลื่อนโครงการแลนด์บริดจ์ไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบได้ภายในสัปดาห์แรกของเดือน ก.ย. 67 เพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และคาดว่าจะผ่านการพิจารณาของสภา ในเดือน เม.ย. 68 โดยตามแผน พ.ร.บ.SEC และการจัดตั้งสำนักงาน SEC จะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 ปี 68 หรือประมาณเดือน เม.ย.-มิ.ย. 68 ส่วนการออกแบบทางรถไฟ และทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) รวมถึงการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดว่าสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) จะพิจารณาแล้วเสร็จในปี 68 สอดคล้องกับการออกแบบท่าเรือ และการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ที่จะแล้วเสร็จภายในปี 67 และเสนอให้ สผ. พิจารณาแล้วเสร็จในปี 68 เช่นเดียวกัน

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ในส่วนของกระบวนการคัดเลือกเอกชนนั้น อยู่ระหว่างการจัดทำร่างเอกสารเชิญชวนผู้ลงทุนในการร่วมลงทุนโครงการ (RFP) คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี 68 โดยจะคัดเลือกผู้ลงทุนในไตรมาส 3 ปี 68 หรือประมาณเดือน ก.ค.-ก.ย. 68 จากนั้นจะเสนอ ครม. อนุมัติโครงการในปี 68 คาดว่าจะสามารถลงนามสัญญากับผู้ชนะการประกวดราคาได้ในต้นปี 69 ขณะที่การก่อสร้าง แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 เริ่มก่อสร้างปี 69 แล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในช่วงปลายปี 73, ระยะที่ 2 เริ่มก่อสร้างปี 74 แล้วเสร็จปลายปี 77 และระยะที่ 3 เริ่มก่อสร้างปี78 แล้วเสร็จปลายปี 79

นายสุริยะ กล่าวด้วยว่า โครงการแลนด์บริดจ์ จะช่วยทำให้ผลิตมวลรวมของประเทศ (GDP) ของประเทศไทย มีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ประมาณการโดย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ 4.0% ต่อปี เป็น 5.5% ต่อปี พร้อมทั้งจะทำให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ จำนวน 280,000 ตำแหน่ง แบ่งเป็นจังหวัดระนอง จำนวน 130,000 ตำแหน่ง และจังหวัดชุมพร 150,000 ตำแหน่ง.