สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ว่าธนาคารกลางเมียนมาออกแถลงการณ์ ว่ารายงานฉบับล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมา ที่เผยแพร่โดยสหประชาชาติ (ยูเอ็น) “เป็นอันตรายอย่างยิ่ง” ต่อผลประโยชน์ของชาวเมียนมา และความสัมพันธ์ระหว่างเมียนมากับนานาประเทศ


ทั้งนี้ ธนาคารกลางเมียนมายืนยันว่า การทำธุรกรรมของสถาบันการเงินซึ่งจดทะเบียนในเมียนมา ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายในหรือระหว่างประเทศ “มีวัตถุประสงค์ที่สร้างสรรค์และเป็นไปตามกฎหมายทุกประการ” โดยเกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้าที่จำเป็นสำหรับชาวเมียนมาเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นยารักษาโรค อุปกรณ์การแพทย์ ปุ๋ย เชื้อเพลิง เครื่องมือเพื่อการทำการเกษตร และน้ำมันพืช


ท่าทีดังกล่าวของธนาคารกลางเมียนมาเกิดขึ้น หลังนายโธมัส แอนดรูว์ส ผู้จัดทำรายงานพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนในเมียนมา เผยแพร่รายงาน เมื่อวันที่ 26 มิ.ย. ที่ผ่านมา ว่าแม้มาตรการคว่ำบาตรของนานาชาติกดดันให้การซื้ออาวุธของรัฐบาลทหารเมียนมา ลดลง 1 ใน 3 จากปีงบประมาณ 2565 ถึงปีงบประมาณ 2566 ซึ่งครอบคลุมระยะเวลาระหว่างเดือน มี.ค. ถึงเดือน เม.ย. ของแต่ละปี โดยมูลค่าล่าสุดอยู่ที่เพียง 253 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9,295.47 ล้านบาท) โดยการซื้อขายผ่านสถาบันการเงินในสิงคโปร์ลดลงมากถึง 90%


อย่างไรก็ตาม การซื้อขายอาวุธของรัฐบาลทหารเมียนมา ผ่านบริษัทและสถาบันการเงินซึ่งจดทะเบียนในไทย ที่ในช่วงเวลาเดียวกันเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า เป็น 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4,408.92 ล้านบาท) ส่วนใหญ่เป็นการซื้ออุปกรณ์เคมี เครื่องจักร ไปจนถึงชิ้นส่วนเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ ทั้งนี้ทั้งนั้น แอนดรูว์สยืนยันว่า ข้อมูลในรายงานไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลไทยมีความเกี่ยวข้องหรือมีส่วนรู้เห็นหรือไม่


ด้านกระทรวงการต่างประเทศไทยออกแถลงการณ์ ยืนยันว่า ธนาคารทุกแห่งในประเทศปฏิบัติตามกฎหมายทั้งของไทยและระดับสากล พร้อมทั้งระบุว่า รัฐบาลกำลังตรวจสอบรายงานชิ้นนี้อย่างละเอียด.

เครดิตภาพ : AFP