ดร.อดิศวร์ หลายชูไทย กรรมการผู้จัดการมูลนิธิเพาะพันธุ์ปัญญา เล่าว่า ที่มุ่งส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ตามหลักผลเกิดจากเหตุเพื่อให้เยาวชนสามารถคิดวิเคราะห์แนวทางในการแก้ปัญหา ต่อยอดโอกาสในการพัฒนาตนเอง และสร้างโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต อันนำไปสู่การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนในอนาคต ได้จัดทำโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ขึ้นในช่วงปิดภาคการศึกษามีพันธกิจสำคัญ คือการทำให้เยาวชนสามารถเข้าถึงความรู้ใหม่ พัฒนาทักษะใหม่ และเก็บประสบการณ์การเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีพโดยเข้าร่วมแคมป์การทำธุรกิจเชิงปฏิบัติการและการเรียนออนไลน์ รวมถึงการเรียนรู้จากวิทยากรมืออาชีพในหลากแขนง

ผลการดำเนินโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ รุ่นปี 2567 ภายใต้แนวคิด ‘อัพเวลสกิลธุรกิจ เสริมทักษะชีวิต ติดปีกผู้ประกอบการ’ มีเยาวชนระดับมัธยมศึกษาของจังหวัดน่านเข้าร่วมโครงการ จำนวน 50 คน จาก 13 โรงเรียน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมิถุนายน โดยตลอดระยะเวลา 79 วัน เยาวชนได้เรียนรู้การทำธุรกิจและลงมือปฏิบัติจริงผ่านแคมป์ต่าง ๆ เช่น

แคมป์เพาะกล้า เพื่อฝึกฝนทักษะเบื้องต้นในการเป็นผู้ประกอบการ เยี่ยมชมสถานประกอบการในจังหวัดน่าน เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่แคมป์หลักอีก 3 แคมป์ ได้แก่

แคมป์กล้าเรียน เพื่อปูพื้นฐานในการสร้างสรรค์ไอเดียธุรกิจ ความเป็นไปได้ และเรียนรู้สิ่งที่จำเป็นในการทำธุรกิจ นำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาไอเดียธุรกิจที่มีคุณค่า  เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และนำไปทดลองตลาด (Minimum Viable Product: MVP)

แคมป์กล้าลุย เพื่อบุกตลาด ลงมือขาย พบลูกค้าตัวจริง เรียนรู้จุดเด่น จุดด้อย เพื่อพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์และบริการ และเดินหน้าจัดจำหน่ายเป็นธุรกิจจริง

แคมป์กล้าก้าว เพื่อรายงานและนำเสนอผลประกอบการจากการทำธุรกิจจริงในระยะเวลา 2 เดือนต่อคณะกรรมการ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิและนักธุรกิจตัวจริง รวมถึงผู้ถือหุ้นที่เป็นเจ้าของทุนที่ใช้ในการทำธุรกิจ นอกจากนี้ เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการยังได้เปิดโลกทัศน์เรียนรู้ประสบการณ์จากบุคคลต้นแบบที่ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจและผู้นำความคิดด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนระดับประเทศตลอดช่วงเวลาของการเข้าแคมป์อีกด้วย

ทั้งนี้ โรงเรียนที่มีผลการประเมินพัฒนาการโดดเด่น 3 อันดับแรก ได้แก่ 1. ทีมโรงเรียนเมืองยมวิทยาคารและโรงเรียนหนองบัวพิทยาคม 2. ทีมโรงเรียนนาหมื่นพิทยาคม และ 3. ทีมโรงเรียนแม่จริม โดยมีทีมโรงเรียนสาธุกิจประชาสรรค์ รัชมังคลาภิเษกและโรงเรียนสารทิศพิทยาคมที่ได้รับการประเมินว่าเป็นทีมที่สามารถปรับตัว แก้ปัญหา และเดินหน้าโครงการได้อย่างต่อเนื่องแม้จะเจออุปสรรคอย่างมากก็ตาม

ดร.อดิศวร์ กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของมูลนิธิเพาะพันธุ์ปัญญา ไม่ใช่การสร้างนักธุรกิจที่เก่งที่สุดหรือหาทีมที่ขายสินค้าได้มากที่สุด แต่เป็นการให้โอกาสในการเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ประกอบการครั้งแรกในชีวิตให้กับเยาวชนเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ต่อไปในอนาคต และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสมดุล ตลอดจนการเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ ที่จะเป็นผู้นำในการสร้างการเปลี่ยนแปลง และสามารถเผยแพร่แบ่งปันความรู้ใหม่ ทักษะใหม่ และประสบการณ์ เพื่อทำคุณประโยชน์ให้กับบ้านเกิด ชุมชน สังคม และประเทศชาติได้อย่างยั่งยืน

เสียงสะท้อนจากเยาวชนในโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ รุ่นปี 2567

น.ส.พิมพ์พิศุทธิ์ ปานหยวก ตัวแทนจากทีมอำเภอท่าวังผา แบรนด์ “สปาไกตี้” (สปาเก็ตตี้เส้นไก และซอสน้ำพริกอ่อง) เล่าให้ฟังว่า การได้มีโอกาสเข้าร่วมโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ในครั้งนี้ นอกจากได้เรียนรู้กระบวนการทำธุรกิจว่ามีขั้นตอนอย่างไรแล้ว ตนยังได้รู้จักวิธีการหากลุ่มลูกค้า ได้ฝึกฝนการนำเสนอไอเดียให้กับคณะกรรมการ (บอร์ด) เหล่านี้ล้วนเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ทำให้ตนเองและเพื่อนในทีมเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการทำธุรกิจไปเลย จากเดิมที่คิดว่าแค่ซื้อมาขายไปขอแค่มีกำไรก็พอ ไม่สนว่าจะขายที่ไหน ขายให้ใคร

“พอได้ลงมือปฏิบัติจริงถึงรู้ว่าการทำธุรกิจหนึ่งให้เติบโตได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องจริงจังทุกขั้นตอนโดยเฉพาะเรื่องเงินและการขาย หนูไม่คิดว่าต้องมาทำอะไรแบบนี้ พอได้มาทำมาเข้าแคมป์ถึงได้รู้ว่ากว่าจะมีคนเข้าใจสินค้าของเรา กว่าที่คนจะยอมจ่ายเงินซื้อสินค้าของเราต้องวางแผนให้รัดกุมและใช้เวลา”

นายวีรภัทร เขียวสุวรรณ ทีมอำเภอเวียงสา แบรนด์ “ผึ้งปิ๊กน่าน” (ขนมไวท์ช็อคโกแลตสอดไส้น้ำผึ้งเวียงสาแท้ 100% ในรูปแบบกล่องของฝากจากเมืองน่าน) เล่าให้ฟังว่า ตนเองและเพื่อนในทีมจากเดิมเป็นคนขี้อาย ไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น พอได้เข้าร่วมโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ ได้รู้จักเพื่อนจากโรงเรียนอื่นๆ ได้เจอพี่ๆ จากมูลนิธิฯ และคณะอาจารย์ที่คอยสนับสนุน เราเหมือนเป็นคนใหม่ ทุกคนเติบโตและมีความกล้ามากขึ้น ไม่ว่าจะกล้าคิดกล้าทำ กล้าตัดสินใจ นอกจากนี้  มุมมองในการทำธุรกิจก็เปลี่ยนไปหลังจากได้ลงมือปฏิบัติจริง  ก็เห็นว่ามีหลายขั้นตอนที่ต้องละเอียดอย่างมาก และต้องมีการวางแผนที่ชัดเจนด้วย ไม่อย่างนั้นธุรกิจเราก็จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้

นายภูผา ดีอุ่น ตัวแทนจากทีมอำเภอนาหมื่น แบรนด์ “Sill Feed” (ผลิตภัณฑ์ผงโรยอาหารสุนัขและแมว)  เล่าต่อว่า หลังจากที่ได้เข้าร่วมโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ ตนเองได้ความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจเยอะมาก อาทิ การคิดค้นผลิตภัณฑ์ การหาตลาด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ตนคิดว่าจะสามารถนำไปต่อยอดหรือใช้ความรู้เหล่านี้ในอนาคตได้อย่างแน่นอน เผื่อในอนาคตอยากมีธุรกิจเป็นของตนเอง

ด้าน นางสาวณัฏฐธิดา ต๊ะเสน หนึ่งในทีมอำเภอนาหมื่น เสริมว่า ตนเชื่อว่าองค์ความรู้ ประสบการณ์ที่ได้จากโครงการเพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ในครั้งนี้จะถูกนำไปปรับใช้ในอนาคตอย่างแน่นอน อย่างน้อยมันจะเป็นพื้นฐานว่าการจะมีธุรกิจเป็นของตนเองได้จะเริ่มต้นอย่างไร ต้องมีอะไร และดำเนินการวางแผนอย่างไรถึงจะประสบผลสำเร็จ ซึ่งค่ายเพาะพันธุ์ปัญญาแคมป์ทำให้ทุกคนรู้จักการทำงานเป็นทีม มีความรับผิดชอบ ไม่ทิ้งงาน ไม่ละเลยหน้าที่ของแต่ละคนที่ได้รับมอบหมาย ทุกคนจะรู้ว่าหน้าที่ของตนเองคืออะไรและทำมันให้เต็มที่ ถ้าเราอยู่ในวัยที่สูงขึ้นหรือว่าอยู่ในวัยทำงาน สิ่งเหล่านี้ที่ได้เรียนรู้มาจะทำให้ทุกคนสามารถปรับตัวได้ง่าย เพื่อทำให้งานออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด ที่สำคัญเราทุกคนรู้คุณค่าของเงิน ได้เรียนรู้ว่าเงินนั้นหายาก