นายประกิต สิริวัฒนเกตุ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เมอร์ชั่นพาร์ทเนอร์ จำกัด ให้สัมภาษณ์พิเศษในรายการ Econ Life ผ่านทางยูทูบ ช่องเดลินิวส์ออนไลน์ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ถึงกรณีที่กระทรวงการคลัง เตรียมนำกองทุนวายุภักษ์กลับมาใช้ ว่ากระทรวงการคลังมีความคิดที่จะช่วยเหลือตลาดทุน โดยพึ่งพาเงินจากในประเทศ เพราะเป็นกองทุนที่ไม่จูงใจด้านการเสียภาษีแต่เป็นการรับประกันเงินต้น การันตีผลตอบแทน 3% ต่อปี และรัฐบาลยังได้รับภาษีและกองทุนดังกล่าว โดยมีเงื่อนไข คือ คนที่ถือหุ้นมากที่สุด คือ กระทรวงการคลังที่มีอำนาจในการตั้งนโยบายการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้ ทำให้เงินเพิ่มเข้ามาผ่านกองทุนนี้ เบื้องต้นประมาณ 1.5 แสนล้านบาท

“จริง ๆ แล้ว เชื่อว่ากระทรวงการคลังอยากนำกองทุนแอลทีเอฟกลับมา แต่อาจมีเหตุผลบางอย่างที่นำกลับมาไม่ได้ อาทิ เรื่องความเหลื่อมล้ำ ทำให้รัฐบาลขาดรายได้ไป 20,000 ล้านบาท หรือไม่ ที่อาจไม่คุ้มค่า จึงฟื้นกองทุนไทยอีเอสจีแทนแต่รัฐบาลรู้ว่าเงินที่จะไหลเข้ามาอาจไม่เพียงพอ จึงมีแนวคิดใช้กองทุนวายุภักษ์เพิ่ม และสะท้อนให้เห็นว่านายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง กำลังพยายามและใส่ใจเห็นความสำคัญของตลาดทุน ถือเป็นเรื่องที่ดีมากจากสถานการณ์ปลายปีที่แล้วที่ตลาดไม่ปกติทำให้นักลงทุนหมดหวังมาก”

ส่วนกรณีที่กระทรวงการคลังเลือกปรับเงื่อนไขกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ไทยอีเอสจี) นั้น โดยส่วนตัว อารมณ์แอบผิดหวังเล็กน้อยแต่ไม่รุนแรง อารมณ์เหมือนกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ไม่ได้อันดับ 1 แต่หลุดไปถึงอันดับ 4 แต่ยังดีกว่าเอนทรานซ์ไม่ติดหรือสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้  แต่ในใจที่อยากได้จริง ๆ คือ อยากได้แบบกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) เพราะแอลทีเอฟของเดิมถือครองเพียงแค่ 3 ปีปฏิทิน หักลดหย่อนภาษีได้ 5 แสนบาท เมื่อรวมกับกองทุนอาร์เอ็มเอสอีก 5 แสนบาท รวมแล้วเป็น 1 ล้านบาท ทำให้มีเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นปี 60 สูงถึง 65,000 ล้านบาท

“หากมีเงินเข้ามาปีละ 65,000 ล้านบาท แม้ช่วงต้นปีจะมีการขายออกจากถือครบกำหนดปีละ 20,000 ล้านบาท ก็ยังมีเงินใหม่เติมเข้ามาในตลาดเรื่อย ๆ และดัชนีหุ้นจึงแข็งแกร่งและปรับขึ้นมาตลอดกาล โดยเฉพาะปี 50-60 และหลังจากนั้นประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติการเมืองหลายครั้ง แต่จะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยปรับลดลงระยะสั้นจากนั้นก็ปรับขึ้น ซึ่งไม่ได้ซึมยาวทั้งปีหรือข้ามปีอย่างที่เห็นปัจจุบัน หรือที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยไม่เคยติดลบเกิน 1 ปี แต่ปีนี้ดูเหมือนยากขึ้นเพราะไม่มีกองทุนแอลทีเอฟ ที่หากดัชนีลดลงก็จะเกิดแรงซื้อเรื่อย ๆ”

ทั้งนี้ สิ่งที่ช่วยฟื้นตลาดหุ้นได้ดีที่สุดยังคงเป็นกองทุนแอลทีเอฟ แต่เมื่อไม่ได้ตามที่หวัง กองทุนไทยอีเอสจี ก็ยังสามารถช่วยให้มีเงินเข้ามาตลาดหุ้นไทยได้ จากเมื่อปลายปี 66 เงินจากกองทุนเอสเอสเอฟเข้าไปตลาดหุ้นไทยประมาณ 10,000 ล้านบาท จากกองทุนไทยอีเอสจีอีก 5,000 ล้านบาท สามารถหักลดหย่อนได้ 1 แสนบาท หากหักลดหย่อน 5 แสนบาท ก็จะช่วยให้เงินจากกองทุนไทยอีเอสจีเข้าตลาดหุ้นไทยประมาณ 15,000 ล้านบาท และรวมกับกองทุนอื่นแล้วจะมีเงินเข้าสู่ตลาดหุ้นไทย 25,000 ล้านบาท ซึ่งพอช่วยตลาดได้บ้าง.