ช่วงนี้ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทำเอานักลงทุนท้อแท้ หลายๆ คนล้างพอร์ตแล้วหันหน้าออกจากตลาดไป (สักพัก) หลายคนที่มีประสบการณ์การลงทุนในตลาดหุ้นมาหลายทศวรรษ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ตลาดหุ้นเปลี่ยนไป มีทั้ง Robot Trading มีทั้ง Short Sale แต่เอาเป็นว่านักลงทุนไม่ว่าจะสายไหน ต่างก็กลายเป็นดาวติดดอยไปไม่รู้ตัว เพราะหุ้นลงแบบไม่มีแนวรับ

นายภัทรกิตติ์ เนตินิยม หัวหน้าภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ทั้งๆ ที่ก่อนเข้าตลาดหุ้น กลุ่มผู้ก่อตั้งไม่ได้จ่ายปันผล แต่นำเงินสดของกำไรสะสมออกจากบริษัท ด้วยการกู้สถาบันการเงินเพื่อเอาเงิน IPO มาจ่ายคืนเลย ขณะที่ธุรกิจหลังจากเข้าตลาดมีต้นทุนการกู้ยืมน้อยกว่า 5% ของมูลค่าบัญชีสูงกว่าราคาตลาดปัจจุบันเกือบ 50% และธุรกิจที่ทำอยู่หลังจากผ่านการลงทุนในระยะแรกๆ ก็จะสามารถสร้างกระแสเงินสดในรูปแบบของการให้บริการทางเทคโนโลยี ทั้งแนวดิ่งและแนวราบ ไม่ต้องไปซื้อกิจการอะไรมาเพิ่ม จ่ายส่วนเพิ่มราคาจากการตีมูลค่าการวาดฝัน เอาเป็นว่าถ้าซื้อตอนนี้ ก็ได้ราคาถูกกว่าผู้ก่อตั้งธุรกิจเสียอีก

กลับมาที่ In God We Trust ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงสงครามการเมืองของอเมริกา ด้วยศักยภาพทางการทหารที่ใกล้เคียงกันของฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ และข้อจำกัดการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ทำให้ฝ่ายผู้นำ สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในฝ่ายของตน ด้วยการรณรงค์สร้างขวัญกำลังใจแก่เหล่าราษฎรผู้ทุกข์ยากจากภัยสงครามว่าพระเจ้าจะเป็นผู้กำหนดโชคชะตา ขอให้เชื่อมั่นวันหน้าจะดีกว่าวันนี้ประมาณนี้

แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ การจะคาดหวังแต่พระเจ้าคงไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ ดังนั้นเราไม่ควรต้องรอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ต้องเข้าใจว่า การที่ตลาดหุ้นไทยดิ่งหัวลง ก็เพราะตลาดหุ้นอเมริกาขณะนี้เป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดเงินลงทุนเข้าไปเป็นจำนวนมาก กองทุนต่างๆ ที่มีเงินมากมายก็ต้องบริหารตามดัชนีอ้างอิง ไม่งั้นนักลงทุนก็หนีหมด ในขณะที่นักลงทุนในประเทศไทยกลับขาดความเชื่อมั่นจากทิศทางเศรษฐกิจของประเทศไทย ที่ไม่ไปไหนมาทศวรรษกว่าๆ แล้ว

ดังนั้น การลงทุนในปัจจุบัน คือ ต้องสร้างความรู้และทำความเข้าใจถึงการลงทุนทางการเงิน และประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนบนพื้นฐานความเป็นจริง หาก God ไม่ทอดทิ้ง ด้วยการเกิดสงครามโลก หรือภัยพิบัติระดับโลกแล้ว ความมั่งคั่งของการลงทุนระยะยาว ย่อมมาจากการมองปัจจัยพื้นฐานของสิ่งที่ลงทุนอย่างเข้าใจนั่นเอง