เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ในคดีหมายเลขดำที่ อ 1396/2557 หมายเลขแดง อ 1594/2562 ที่พนักงานอัยการ เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสุเทพ อัคควุฒิไกร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), นายภาณุวรรณ เลิศวิเศษ, บริษัท สีลม แอดไวซอรี่ เซอร์วิส จำกัด, นายสนธยา น้อยเจริญ อดีตที่ปรึกษากฎหมายฯ, นายธรรมนูญ ทองลือ, หม่อมหลวงชัยภัทร ชยางกูร, บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด และนางวันดี โตเจริญ เป็นจำเลยที่ 1-8 ในความผิดต่อ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ

โดยฟ้องว่าจำเลยฯ ได้ร่วมกันสนับสนุน ช่วยเหลือ และกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน โดยร่วมกันยักยอกหุ้น บริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด มาเป็นของบริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PICNI จำนวน 7.9 ล้านหุ้น มูลค่า 711 ล้านบาท และร่วมกันยักยอกเงินของ PICNI จำนวน 50 ล้านบาท ปี 62

ต่อมาในปี 2562 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ อ.1396/2557 คดีหมายเลขแดงที่ อ.1594/2562 ลงวันที่ 25 มิ.ย. 62 ยกฟ้องจำเลยทั้ง 8 ส่วนนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ สมัยรัฐบาล นายทักษิณ ชินวัตร 2 เมื่อปี 48 และพวกอีกหลายคนได้หนีคดี

อัยการได้ยื่นอุทธรณ์ฯ

และต่อมาวันที่ 21 ส.ค. 63 ศาลอุทธรณ์ ได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 954-956/2563 คดีหมายเลขแดงที่ 12833-12835/2563 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 นายสุเทพ อัคควุฒิไกร และนายภาณุวรรณ เลิศวิเศษ จำเลยที่ 2 จำคุก 12 ปี และปรับคนละ 1,522,000,000 บาท จำเลยที่ 3 บริษัท สีลม แอดไวซอรี่ เซอร์วิส จำกัด ปรับ 1,422,000,000 บาท จำเลยที่ 4 และที่ 7 ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 313 ประกอบมาตรา 308 เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 นั้น ให้จำคุกจำเลยที่ 4 (นายสนธยา น้อยเจริญ) กระทงแรก 6 ปี และปรับ 1,422,000,000 บาท จำคุกกระทงที่สอง 6 ปี และปรับ 100,000,000 บาท รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 12 ปี และปรับ 1,522,000,000 บาท และลงโทษปรับจำเลยที่ 7 บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด สองกระทงปรับ 1,522,000,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยที่ 8 ยกฟ้อง ส่วน นายธรรมนูญ จำเลยที่ 5 และนายสุริยา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ หลบหนี ออกหมายจับปรับนายประกัน

จำเลยที่ 1 , 3 และ 4 ยื่นฎีกา โดยคดีนี้เดิมนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาตั้งแต่ปี 66 แต่ก็เลื่อนมา เนื่องจากจำเลยอ้างเหตุ จนมีการออกหมายจับปรับนายประกันจำเลยบางคนไป

โดยนัดฟังคำพิพากษาวันนี้ จำเลยที่ 1 ที่ได้ประกันตัวเดินทางมาศาล และตัวแทนนิติบุคคลจำเลยที่ 3 มาศาล ส่วนจำเลยที่ 4 นายสนธยา หลบหนีไม่มาศาลตั้งแต่นัดที่แล้ว มีเพียงนายประกันมาศาล ดังนั้นศาลออกหมายจับปรับนายประกันวันนี้

ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลย 1-2 ครอบครองหุ้นตามฟ้องแล้วอาศัยโอกาสเป็นกรรมการบริหาร บ.ปิคนิคฯ กระทำผิดหน้าที่เบียดบังหุ้นไปจริง โดยกระทำร่วมกันเป็นเหตุลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 2 ไม่ฎีกาก็มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย จำคุกยืนคนละ 12 ปี และพิพากษาแก้ไม่มีโทษปรับ ส่วนจำเลยที่ 3 ศาลพิพากษาแก้บทลงโทษคงปรับ 1,000,000 บาท จำเลยที่ 4 ยืนจำคุก 12 ปี ส่วนจำเลยที่ 7 แม้ไม่ฎีกาแต่เป็นเหตุลักษณะคดีมีผลไปถึงด้วยให้ปรับ 2,000,000 บาท

หลังฟังคำพิพากษา เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัว นายสุเทพ จำเลยที่ 1 ซึ่งเคยเป็นผู้บริหารบริษัทไปคุมขังยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ต่อไป ในส่วนจำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลคงมีแต่โทษค่าปรับ ส่วนจำเลยที่ 4 ศาลก็จะออกหมายจับฉบับใหม่ เพื่อนำตัวมาลงโทษตามคำพิพากษาต่อไป.