วันที่ 24 มิ.ย. 67 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ร่วมกับ นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และนายภาร ปีตธวัชชัย แถลงข่าวร่วม 3 หน่วยงาน ในเรื่องมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเคยคิดกันว่าจะไปถึง 1,800 จุด ไหม แต่เมื่อเจอปัจจัยกระทบต่างๆ กลับลดลง ซึ่งปัจจุบันดัชนีอยู่ราว 1,300 จุด ปรับลดลงตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) แม้จะมีกลุ่มท่องเที่ยวที่มีทิศทางปรับตัวดีขึ้น แต่เชื่อว่าผลประกอบการมีแนวโน้มดีขึ้น

ดังนั้น เมื่อเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยทยอยฟื้นตัวขึ้น จึงเป็นโอกาสในการออกมาตรการที่ช่วยกระตุ้นการออม และตลาดทุน

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยฟื้นตัวแล้วในบางกลุ่ม เช่น กลุ่มการบริโภค ไอที สุขภาพ และการท่องเที่ยว แต่ในกลุ่มด้านพลังงานและการเงินยังไม่ฟื้นตัว และมีสัดส่วนค่อนข้างใหญ่หากเทียบกับภาพรวมเศรษฐกิจไทยจึงทำให้ดัชนียังไม่ฟื้นตัวมากนัก  และถือว่าราคาหุ้นไทยไม่สูงจึงถือเป็นโอกาสที่จะเข้าลงทุนในระยะยาว

โดย นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต. พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอนุมัติปรับกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ไทยอีเอสจี) ปรับวงเงินลดหย่อนภาษีเป็น 300,000 บาท จากเดิม 100,000 บาท พร้อมลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปี จากเดิม 8 ปี (นับจากวันที่ซื้อ) รวมถึงขยายนโยบายการลงทุนให้หลากหลายมากขึ้น

ทั้งนี้ คาดว่ากองทุนไทยอีเอสจี เงื่อนไขใหม่จะช่วยให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยอ้างอิงจากกองทุนไทยอีเอสจี ในปี 2566 ที่มีระยะเวลาขายเพียง 1 เดือน มีเงินไหลเข้าราว 6,000 ล้านบาท

“ก.ล.ต. อยากเห็นการออมของภาคประชาชนและอยากเห็นการเข้าถึงตลาดทุนของคนทุกคน ที่ผ่านมาจึงได้รับความร่วมมือจากภาครัฐในเรื่องกองทุนที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมาตั้งกองทุนไทยอีเอสจีขึ้นโดยหุ้นที่จะไปลงทุนได้จะต้องเป็นหุ้นที่มีความสำคัญในเรื่องของกรีน หรือรักษ์โลก ซึ่งมีบริษัทจดทะเบียนที่ลุกขึ้นมาเปิดเผยข้อมูล คาร์บอนฟุตพรินต์เพิ่มขึ้นถึง 30% โดยกระตุ้นให้เกิดสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ผู้ออม รวมทั้งผู้ระดมทุนที่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ความสำคัญในเรื่องของกรีนได้อีกด้วย”

นอกจากนี้ ยังเตรียมฟื้นกองทุนรวมวายุภักษ์ที่อยู่ภายใต้กระทรวงการคลัง ซึ่งแม้จะไม่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่ได้รับอัตราผลตอบแทนตามจริง โดยมีขั้นต่ำและขั้นสูงต่อปี เป็นเวลา 10 ปี พร้อมกับการกำกับดูแลตลาดทุนแบบรอบด้าน เช่น ปรับคุณสมบัติบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียน ซึ่งเป็นมาตรการดูแลตั้งแต่ก่อนเข้ามาซื้อขาย, ทบทวนหุ้นที่ชอร์ตเซลได้ ซึ่งเป็นมาตรการระหว่างซื้อขาย ไปจนถึงการปรับมาตรการเพิกถอนบริษัทจดทะเบียน เป็นต้น