คริสติน โมเยอร์ รองประธานฝ่ายนักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ เปิดเผยว่า การ์ทเนอร์ได้เผยผลสำรวจซีอีโอ และผู้บริหารระดับสูง ล่าสุดพบว่าซีอีโอทั่วโลก กว่า 69% เห็นความยั่งยืน คือ โอกาสการเติบโตทางธุรกิจที่สำคัญในปีนี้โดยที่ซีอีโอมีการปรับกลยุทธ์ระยะยาวกันใหม่ ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมยังคงเป็นหนึ่ง ในปัจจัยสำคัญที่กำหนด กรอบการแข่งขัน สภาพเศรษฐกิจได้กระตุ้นให้เกิดกระแสการวกกลับของความสนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG) แม้ว่าจะมีการฟอกเขียว หรือ Greenwash ในองค์กรต่าง ๆ มากมาย และไปให้ความสำคัญกับผลกำไรจากต้นทุน อย่างไรก็ตามพันธกิจภาพรวมของซีอีโอยังไม่เปลี่ยนไปแต่อย่างใด

ทั้งนี้ จากการสำรวจซีอีโอและผู้บริหารระดับสูงของการ์ทเนอร์ในปี 67 ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงธันวาคม ปี 66 โดยรวบรวมความคิดเห็นของบรรดาซีอีโอและผู้บริหารระดับสูงในองค์กรธุรกิจต่าง ๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมหลากหลาย ในกลุ่มรายได้และขนาดองค์กรแตกต่างกันออกไปมากกว่า 400 ราย จากทวีปอเมริกาเหนือ ยุโรป เอเชีย/แปซิฟิก ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกาใต้ นั้น ความยั่งยืนยังเป็นปัจจัยสำคัญของการทำธุรกิจที่อยู่ใน 10 อันดับแรกอย่างต่อเนื่อง โดยแซงหน้าเรื่องผลิตภาพ  (Productivity) และประสิทธิภาพ (Efficiency) ขึ้นมาในปีนี้

ซึ่งผู้นำและนักลงทุนต่างทราบดีว่าองค์กรที่มีพฤติกรรมที่ไม่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมเป็นความเสี่ยงที่สร้างผลกระทบระยะกลางถึงระยะยาวต่อผลลัพธ์ทางธุรกิจ โดยมีราคาที่ต้องจ่ายมหาศาลหากละเลยปัจจัยในด้านสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ซีอีโอที่มีความเฉลียวฉลาด จะตระหนักดีว่าความท้าทายด้านความยั่งยืนครั้งใหญ่นี้จะสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นด้วย

คริสติน โมเยอร์ กล่าวต่อว่า จากการสำรวจประจำปีของการ์ทเนอร์ พบว่าแนวทางหลักที่ซีอีโอใช้ความยั่งยืน ขับเคลื่อนการเติบโตทางธุรกิจ ได้แก่ การใช้ผลิตภัณฑ์และบริการที่ยั่งยืน (33%) ยึดแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจที่ยั่งยืน (18%) สร้างการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (18%) และมุ่งลดการปล่อยคาร์บอน (18%) โดยการลงทุนด้านนวัตกรรมและดิจิทัลอยู่ในอันดับที่เก้าที่ 8%

“เทคโนโลยีดิจิทัลสามารถเร่งการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน นอกจากการปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ช่วยให้องค์กรบรรลุเป้าหมายต่าง ๆ อย่างการเปิดรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ และการสร้างช่องทางรายได้ใหม่ ๆ” โมเยอร์ กล่าว

ตามรายงานของการ์ทเนอร์ยังเผยว่าเทคโนโลยีดิจิทัลนั้น มีบทบาทสำคัญต่อการขับเคลื่อนผลลัพธ์ด้านการเงินและความยั่งยืน ตัวอย่างเช่น Internet of Things (IoT), ข้อมูลและการวิเคราะห์ (Data & Analytics) ที่สามารถปรับใช้ได้อย่างเหมาะสม ช่วยลดต้นทุนและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยมี AI และ IoT คอยช่วยลดต้นทุนของอาหารและขยะที่สูญไป ขณะที่ตลาดในระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) สามารถสร้างรายได้ใหม่และลดขยะไปพร้อม ๆ กัน

ผลสำรวจของการ์ทเนอร์เผยว่าซีอีโอ 54% ระบุว่าธุรกิจของพวกเขาได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงในระดับปานกลางเป็นอย่างต่ำ และมากกว่าครึ่งหนึ่ง (51%) ยอมรับว่าสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องอยู่ในขั้นของการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินงานหรือปรับเปลี่ยนไปแล้ว

“ซีอีโอเห็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังทำให้สภาพอากาศแปรปรวนและกระทบตรง ๆ ต่อการดำเนินธุรกิจของพวกเขาแล้ว และการดำเนินงานจะต้องปรับเปลี่ยนใหม่ โดยนำเทคโนโลยีมาใช้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห่วงโซ่อุปทาน” โมเยอร์ กล่าว

ผลสำรวจของการ์ทเนอร์ เผยว่าผลกระทบใหญ่ที่สุดของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่ซีอีโอกล่าวถึงคือ พลวัตการดำเนินงาน (30%) โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงด้านโลจิสติกส์ เช่น การจัดเก็บสินค้า การกำหนดเวลา และกำหนดเส้นทางการจัดส่ง หรือการย้ายสถานที่ (ซึ่งรวมถึงการทำงานในพื้นที่ใกล้เคียง) อยู่ในอันดับสอง (14%) รองลงมาคือระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยี และข้อมูล (13%)