น.ส.นิตยา โสรีกุล รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยผลการจัดเก็บภาษี ของกรมสรรพสามิตในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 (เดือนตุลาคม 2566 – พฤษภาคม 2567) ว่ากรมสรรพสามิตจัดเก็บภาษีได้ 349,563.54 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนและเพิ่มขึ้นมากกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ที่ขยายตัวร้อยละ 2.5 ต่อปี

โฆษกกรมสรรพสามิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว สะท้อนถึงประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตที่สูงกว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย นอกจากนั้น การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในช่วง 8 เดือนแรก ยังสะท้อนถึงการใช้จ่ายในประเทศที่ดีขึ้น ตามการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากสินค้าและบริการในหมวดที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น ภาษีเครื่องดื่ม ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 11.3 ต่อปี ภาษีกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ (ไนต์คลับและดิสโกเธค) และภาษีสนามกอล์ฟ    ที่จัดเก็บได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.6 ต่อปี และร้อยละ 14.9 ต่อปีตามลำดับ การจัดเก็บภาษีแบตเตอรี่

สูงขึ้นกว่าปีก่อนร้อยละ 13.0 ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตขึ้น อีกทั้ง ยังจัดเก็บภาษีน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมันได้เพิ่มขึ้นร้อยละ 85.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีการลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล เพื่อเป็นการช่วยลดค่าครองชีพประชาชน

แม้ว่าการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2567 ที่สูงขึ้นกว่าร้อยละ 11   จากปีก่อน แต่ยังคงต่ำกว่าประมาณการรายได้ที่กรมสรรพสามิตได้รับจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลังซึ่งตั้งไว้     สูงถึงร้อยละ 25 ที่ไม่ได้นับรวมผลกระทบของมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระยะแรก (EV3.0) และมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าระยะที่ 2 (EV 3.5) โดยปรับลดอัตราภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจากร้อยละ 8 เหลือร้อยละ 2 รวมถึงการปรับลดอัตราภาษีน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล เพื่อช่วยลดค่าครองชีพประชาชนในช่วงที่ผ่านมา

น.ส.นิตยา โสรีกุล รองอธิบดีกรมสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต กล่าวสรุปว่า ในปีงบประมาณ 2567 กรมสรรพสามิตจะเร่งดำเนินการจัดเก็บภาษีให้ได้ตามเป้าหมายตามที่ได้รับจากกระทรวงการคลังต่อไป