เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. นายชนินทร์ รุ่งแสง รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมัยวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เมื่อวันที่ 19-21 มิ.ย. ที่ผ่านมา ว่า พรรคประชาธิปัตย์และหลายฝ่ายได้อภิปรายแสดงความเป็นห่วงและพูดถึงการกู้เงินจนเกินตัวของรัฐบาล ว่าจะก่อให้เกิดปัญหาฐานะการคลังและหายนะของประเทศได้ ซึ่งความจริง ตนอยากเน้นย้ำขีดเส้นใต้ว่าไม่ได้อยู่ที่ตัวเลขการกู้ แต่ปัญหาสำคัญอยู่ที่กู้มาแล้วจะใช้อย่างไร และจะมีหนทางหารายได้กลับมาชดเชยเงินกู้ได้อย่างไร แต่ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน ไม่ได้รู้จักคำว่ารดน้ำพรวนดินเศรษฐกิจ แต่เน้นการใช้เงินตอบสนองทางด้านการเมือง เหมือนเทน้ำลงในทราย หายไปไม่ได้คืนมา

นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจประเทศไทยขณะนี้มีปัญหาการเจริญเติบโตชะลอตัว ค่าครองชีพสูง ข้าวของแพง รายได้ประชาชนลด หนี้ครัวเรือนสูง ที่สำคัญหายนะกำลังเกิดจากหนี้สาธารณะที่กำลังจะเพิ่มขึ้น จากการจัดทำงบประมาณกลางปี 2567 เพิ่มเติม และการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ส่วนของการจัดทำงบกลางปี 2567 นั้น ทำให้การกู้ขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลเพิ่ม 1.12 แสนล้านบาท เนื่องจากมีการตั้งเป้าจัดเก็บรายได้จากงบประมาณส่วนนี้ไว้เพียง 10,000 ล้านบาท ที่เหลือเป็นการกู้ขาดดุลงบประมาณเพิ่มเติม ทำให้การขาดดุลงบประมาณในปีงบประมาณปี 2567 เพิ่มเป็น 815,056 ล้านบาท ซึ่งตาม พ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 การที่รัฐบาลจะกู้เงินในรอบนี้ จะทำให้ไม่มีที่ว่างทางการคลัง และสิ่งที่ต้องเป็นห่วงคือกู้เพิ่มแต่รัฐบาลไม่มีรายได้เพิ่มชัดเจนแน่นอน ซึ่งเกิดจากการกู้มาใช้ในลักษณะเทน้ำลงทราย จึงอยากถามไปถึงรัฐบาลโดยเฉพาะนายเศรษฐาว่ารู้จักการใช้นโยบายเศรษฐกิจแก้ไขแบบรดน้ำพรวนดินหรือไม่ ไม่ใช่เทน้ำลงทรายหายไป ไม่เกิดดอกผล เช่น การกู้ 500,000 ล้านบาท เพื่อเอามาแจก

“แม้เป็นเรื่องดีที่ประชาชนมีเงินเพื่อจับใจใช้สอยในสิ่งที่จำเป็น แต่หากรัฐบาลไม่สามารถควบคุมการใช้ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของไม่จำเป็นที่มาจากต่างประเทศ การซื้อของกับร้านค้าที่เจ้าของเป็นกลุ่มทุนใหญ่ ก็จะทำให้กลุ่มทุนนั้นได้ประโยชน์เต็มๆ ส่วนร้านข้าวแกง ร้านโชห่วยในชุมชนไม่มีสิทธิได้รับประโยชน์จากโครงการนี้ การใช้จ่ายส่วนใหญ่ของประชาชนที่ได้รับเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันที่จะต้องซื้อใช้อยู่แล้ว ไม่ได้ต้องซื้อเพิ่มกว่าปกติ สิ่งเหล่านี้จะไม่ทำให้เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจ ไม่คุ้มค่ากับการกู้มาใช้ ซึ่งนายเศรษฐาพูดว่าจากการคาดการณ์โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 500,000 ล้านบาท จะทำให้จีดีพีของประเทศโตขึ้น ซึ่งจากการประมาณการคาดการณ์ของแต่ละฝ่าย คือ 2.5 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญไม่สามารถบอกได้ว่าจะกลับมาเป็นรายได้ให้รัฐบาลสามารถนำกลับมาใช้หนี้ได้มากน้อยชัดเจนอย่างไร” นายชนินทร์ กล่าว

นายชนินทร์ กล่าวว่า ตนอยากฝากรัฐบาลให้คิดเป็นการบ้านว่าถ้ามาคิดเรื่องแก้เศรษฐกิจด้วยการรดน้ำพรวนดิน ควรต้องนึกถึง 3 สิ่งที่คิดจะนำเงินกู้ไปใช้ คือ 1.ต้องมีการเยียวยากลุ่มเปราะบาง 2.การก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เป็นโครงการเพื่ออนาคต เพื่อการสร้างงานสร้างอาชีพ 3.ใช้ในการเตรียมการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพื่อการทำมาหากินของประชาชนในอนาคต และสร้างรายได้ของประเทศให้กลับคืนมา สำหรับผลกระทบของการที่ไม่มีพื้นที่การคลังเหลือมากพอ ประเทศก็จะเสี่ยง หากประเทศเกิดวิกฤติขึ้นมาเหมือนช่วงสถานการณ์โรคโควิด-19 ซึ่งต้องกู้เงินเพิ่ม 1.9 ล้านล้านบาท มาแก้ไขเยียวยา และเมื่อสถานะทางการคลังมีปัญหา ประเทศจะถูกลดความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนทางการเงินของประเทศ เมื่อดอกเบี้ยขึ้น ก็จะกระทบกับประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกหนี้รายย่อย ตนขอแนะนำรัฐบาลฟังความให้รอบด้านมากขึ้น ทั้งฝ่ายค้าน นักวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานของรัฐที่มีข้อมูลที่เป็นวิทยาศาสตร์ ทั้งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งหน่วยงานเหล่านี้ มีผู้ที่มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่สามารถหาเสียงหลอกประชาชน จนมามีอำนาจบริหารประเทศได้เหมือนกับรัฐบาล