นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจาก นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คมนาคม ให้ชี้แจงและตอบข้อซักถามในการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 วาระที่ 1 กรณีนายกฤดิทัช แสงธนโยธิน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคใหม่ ตั้งข้อสังเกตว่า กระทรวงคมนาคมไม่ได้มีการพัฒนาลงทุนระบบรางที่เพียงพอ ควรพัฒนาลงทุนระบบรางทั้งประเทศนั้น ข้อเท็จจริงคือ กระทรวงคมนาคมได้เน้นการขนส่งที่มีต้นทุนต่ำ โดยเพิ่มสัดส่วนการขนส่งทางราง และทางน้ำให้มากขึ้น ซึ่งการคมนาคมทางราง โดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จะใช้เงินนอกงบประมาณในการลงทุนเป็นหลัก และเมื่อพิจารณางบประมาณทางถนน ทางราง ทางน้ำ ทางอากาศ จะพบว่า สัดส่วนการลงทุนระบบรางเป็นเงินนอกงบประมาณมีสัดส่วนสูงถึง 48.26% ของเงินลงทุนทั้งหมดที่ใช้เงินนอกงบประมาณ

นางมนพร กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคไทยสร้างไทย ตั้งข้อสังเกตเรื่องการจัดสรรงบประมาณซ่อมบำรุงของกระทรวงคมนาคม ที่ระบุว่า ใช้งบเป็นจำนวนมากถึงกว่า 5 หมื่นล้านบาท เป็นเพราะการก่อสร้างถนนที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือมีรถบรรทุกน้ำหนักเกินมากเกินไปหรือไม่นั้น ขอชี้แจงว่า โครงการก่อสร้างของกระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง (ทล.) และกรมทางหลวงชนบท (ทช.) มีมาตรฐานการก่อสร้างเป็นไปตามมาตรฐานสากล มีคุณภาพ ความปลอดภัย อายุการใช้งานที่ยั่งยืน มีคู่มือในการกำกับดูแลการก่อสร้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน และควบคุมงานใช้เป็นมาตรฐานในการกำกับดูแลการก่อสร้าง

สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น เกิดจากอายุการใช้งาน จำเป็นต้องบำรุงรักษาให้ปลอดภัยอยู่ตลอดเวลา เพราะความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน เป็นสิ่งที่กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ส่วนการบำรุงรักษาถนนทางหลวง และทางหลวงชนบท แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ การบำรุงปกติ เป็นงบประมาณที่ต้องตั้งทุกปีเพื่อดูแลถนนให้สะอาด อยู่ในสภาพดี ประชาชนสามารถสัญจรไป-มาได้ตลอดเวลา ประเภทที่ 2 บำรุงรักษาตามกำหนดเวลา เป็นงบประมาณที่ใช้ในการบำรุง และซ่อมแซมสำหรับถนนที่เปิดใช้งานไปแล้ว 3 ปี และมีความเสียหายเล็กน้อย และประเภทที่ 3 เป็นการบำรุงประเภทพิเศษ ซึ่งเป็นงบประมาณในการซ่อมใหญ่ เมื่อถนนใช้ไปเวลาเป็นนานจะมีความเสียหายที่รุนแรง

นางมนพร กล่าวอีกว่า ส่วนความห่วงใยว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นใช้งบประมาณค่อนข้างสูง เนื่องจากรถบรรทุกน้ำหนักเกินไปหรือไม่นั้น ขอยืนยันว่า นายสุริยะ ได้กำชับเน้นย้ำให้ ทล. และ ทช. ตรวจจับรถบรรทุกอย่างเข้มงวด ห้ามรับส่วยเด็ดขาด หากมีการรับส่วยเกิดขึ้นจะลงโทษเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานอย่างหนัก และจากข้อมูลการตรวจจับรถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกินพบว่า ก่อนการเข้ามาบริหารงานของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน มีรถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกินมากถึง 3,416 คัน/ปี แต่หลังจากการเข้ามาบริหารของรัฐบาลเพียง 8 เดือน พบรถบรรทุกน้ำหนักเกิน 1,998 คัน จำนวนที่ลดลงเนื่องจากการตรวจจับที่เข้มงวด รวมถึงการตั้งด่านตรวจสอบน้ำหนักเคลื่อนที่มากขึ้น ถือเป็นความใส่ใจของกระทรวงคมนาคม นอกจากนี้ จากการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมยังมีผลงานที่เป็นประจักษ์ จะเห็นว่าการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขัน (IMD) ของประเทศไทย ได้ถูกจัดอันดับเลื่อนขึ้นจากลำดับที่ 30 เป็นอันดับที่ 25 และเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน รองจากประเทศสิงคโปร์เท่านั้น

นางมนพร กล่าวด้วยว่า กระทรวงคมนาคมขอรับคำแนะนำจากสมาชิกสภา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อกระทรวงคมนาคมและประชาชน ทำให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนภายใต้งบประมาณที่มาจากภาษีของประชาชน ทั้งนี้นายสุริยะ ได้กล่าวเสมอว่า อะไรที่เป็นความเดือดร้อนของประชาชน กระทรวงคมนาคมจะเร่งรัดทำทันที ภายใต้คำขวัญ “กระทรวงคมนาคม เพื่อความอุดุมสุขของประชาชน”.