วานนี้ (19 มิ.ย. 2567) ผู้สื่อข่าวต่างประเทศรายงานกรณีพ่อสังหารลูก ระหว่างการวิวาทด้วยสาเหตุจากงานบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเมืองหลวงของรัฐอินดีแอนา

ทิโมที เรย์ ลิสบี วัย 59 ปี โดนจับกุมและตั้งข้อหาทำร้ายร่างกายบุคคลอื่นอย่างรุนแรง และไม่อนุญาตให้ประกันตัว ตามข้อมูลของเรือนจำมาเรียนเคาน์ตี รัฐอินดีแอนา

ต่อมา กรณีทำร้ายร่างกายบุคคลอื่นของ ลิสบี ก็กลายเป็นการฆาตกรรม เมื่อผู้ที่เขาทำร้าย ซึ่งก็คือลูกชายของเขาเองเสียชีวิต เพราะอาการบาดเจ็บ

เจเรไมอาห์ กรีน เพื่อนสนิทของผู้เสียชีวิตและเป็นพยานผู้เห็นเหตุการณ์ขณะที่ คริสโตเฟอร์ อัลเลน ลิสบี วัย 31 ปี โดยพ่อแท้ ๆ ใช้มีดแทงเล่าว่า เหตุการณ์สะเทือนขวัญนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมา 

กรีน เล่าว่า สองพ่อลูกมีปากเสียงกันเรื่องจานชามใช้แล้วกองโตในอ่างล้างจาน จากนั้นก็ลงมือลงไม้กันจนล้มลงไปอยู่กับพื้นภายในรถบ้านของพวกเขา ซึ่งจอดอยู่บนถนนโดกี เมืองอินเดียแนโพลิส รัฐอินดีแอนา

ระหว่างที่กอดปล้ำชกต่อยกัน ลิสบีคนพ่อก็คว้าช้อนขึ้นมา แล้วแทงใส่ลิสบีคนลูก ทำให้ฝ่ายหลังร้องเรียกกรีน ให้ช่วยมาดึงช้อนออกจากมือของพ่อของเขา ซึ่งกรีนก็เข้าไปช่วยตามคำขอ

แต่หลังจากที่โดนชิงช้อนออกไปจากมือ ทิโมที ลิสบี ก็หันไปหาอาวุธอย่างอื่น กรีน เล่าว่า เขาวิ่งเข้าไปในห้องครัวและคว้าบางอย่างที่มีปลายแหลมคมวาววับ แล้วก็แทงเข้าไปที่ช่วงอกของผู้เป็นลูกชายอย่างแรง กรีนจึงรีบโทรศัพท์แจ้งเหตุฉุกเฉินไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 

เมื่อตำรวจจากกรมตำรวจอินเดียแนโพลิส เมโทรโพลิแทน มาถึงที่เกิดเหตุ พวกเขาก็พบ คริสโตเฟอร์ ลิสบี ในสภาพที่มีเลือดไหลทะลักออกจากบาดแผลที่ช่องอกอยู่ในภายในห้องนั่งเล่น 

หลังจากที่เร่งรีบนำตัวลิสบีคนลูกส่งไปยังโรงพยาบาลละแวกนั้น ทีมแพทย์ได้ทำการผ่าตัดเพื่อรักษากล้ามเนื้อหัวใจที่ฉีกขาดของเขา แต่หลังจากผ่าตัดแล้ว อาการของเขาก็คงที่ได้ไม่นาน และเริ่มทรุดลงจนเสียชีวิตในวันต่อมา

กรีน เล่าว่า หลังจากที่เขาโทรศัพท์แจ้งเหตุฉุกเฉินไปแล้ว ลิสบีคนพ่อดูเหมือนจะเพิ่งรู้สึกตัว และพยายามเข้าไปปฐมพยาบาลเพื่อช่วยชีวิตลูกชาย พร้อมกับคร่ำครวญไปด้วยว่า “อย่าตาย อย่าตายนะ” 

กรีนซึ่งได้รับความสะเทือนใจอย่างหนักกล่าวว่า เขาจะขึ้นศาลและให้การเพื่อเอาผิด ทิโมที ลิสบี ที่พรากชีวิตเพื่อนรักของเขาไป

ด้าน ทิโมที ลิสบี มีกำหนดการขึ้นศาลในวันที่ 21 มิ.ย. 2567

ที่มา : nypost.com

เครดิตภาพ : Marion County Jail, Facebook / Chris Libby