เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 19 มิ.ย. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวลำปาง พา นายคาเซฟ คาบูลู อายุ 45 ปี นักธุรกิจชาวคองโก พร้อมเพื่อนสาวสัญชาติเดียวกัน ซึ่งเป็นล่าม นำเอกสารหลักฐานสลิปการโอนเงิน เข้าแจ้งความ ร.ต.ท.ณัฐนันท์ กิจปฐมมานนท์ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เขลางค์นคร จ.ลำปาง เบื้องต้นแจ้งว่า นายคาเซฟ เป็นนักธุกิจในประเทศคองโก ติดต่อซื้อขายน้ำตาลกับกลุ่มผู้ก่อเหตุในประเทศไทยทางออนไลน์เพื่อนำกลับไปขายที่ประเทศ โดยครั้งแรกติดต่อกับชาวอินเดีย เป็นคนประสานให้ติดต่อซื้อขายน้ำตาลทรายกับบริษัทแห่งหนึ่ง ที่จดทะเบียนพาณิชย์ถูกต้องตามกฎหมาย มีโรงงานน้ำตาลทรายตั้งอยู่ใน อ.เมือง จ.ลำปาง จนตกลงสั่งซื้อน้ำตาลทรายกัน 128,000 กิโลกรัม กิโลกรัมละ 12.88 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 1,600,000 บาท แต่ต้องโอนเงิน 30 เปอร์เซ็นต์ ก่อน ส่วนที่เหลือ 70 เปอร์เซ็นต์ ต้องจ่ายเมื่อสินค้าไปถึงปลายทางประเทศคองโก

นายคาเซฟ จึงโอนเงินสกุลดอลลาร์ เข้าบัญชีธนาคารกสิกรไทย ซึ่งเป็นบัญชีของบริษัทดังกล่าวติดต่อกัน 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 10-11 และ 13 พ.ค. 67 รวมเป็นเงินไทยประมาณ 5 แสนบาท กระทั่งประมาณ 3 วันก่อน (16 มิ.ย.) นายคาเซฟ เดินทางจากคองโกมากับเพื่อนสาวที่เป็นล่าม ลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ และนั่งรถไฟมาลงที่สถานีรถไฟนครลำปาง เข้าพักโรงแรม เพื่อจะมาขอดูสินค้าและโรงงานน้ำตาลทรายดังกล่าว โดยทางผู้ก่อเหตุได้ส่งพิกัดที่ตั้งของโรงงานน้ำตาลมาให้ จึงว่าจ้างรถแท็กซี่ไปส่งตามพิกัด เมื่อไปถึงกลับพบว่าเป็นหอพักนักศึกษาหญิง จึงรู้ว่าถูกหลอก ก่อนติดต่อตำรวจท่องเที่ยวลำปาง พาเข้าแจ้งความดังกล่าว

จากนั้นตำรวจท่องเที่ยวลำปาง ได้ประสานนายเอกสิทธิ์ มานะรุ่งโรจน์ ทนายความ ให้ความช่วยเหลือ โดยนายเอกสิทธิ์ เปิดเผยหลังรับฟังข้อมูลว่า ในเบื้องต้นจากการตรวจสอบข้อมูลเอกสารต่างๆ พูดคุยผ่านล่าม และตรวจสอบที่ตั้งของบริษัท ที่อ้างว่าเป็นโรงน้ำตาลทราย พบว่ามีชื่อผู้จดทะเบียนเป็นกรรมการบริษัท เป็นชาย 3 คน อายุยังน้อย อยู่ระหว่าง 20-30 ปี เป็นคนจังหวัดสกลนคร แต่จากการตรวจสอบที่ตั้งของบริษัท ไม่มีอยู่จริง ซึ่งกลุ่มบุคคลหรือมิจฉาชีพ ใช้ช่องโหว่จดทะเบียนการค้าเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือมาใช้ในการหลอกลวง ซึ่งตามกฎหมายมีความผิดฐานฉ้อโกงและนำความเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เมื่อพนักงานสอบสวนได้รับแจ้งความเป็นคดีแล้ว ตนขอประสานให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจรีบดำเนินการในการอายัดบัญชีธนาคารดังกล่าวอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะกลุ่มบุคคลดังกล่าว จะได้ไม่ไปหลอกลวงคนอื่นอีก ส่วนกรรมการบริษัททั้ง 3 คน ทราบชื่อหมดแล้ว ทางพนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกมาสอบสวนปากคำว่ามีส่วนรู้เห็นหรือไม่ ก่อนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป