เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ที่ สภ.ปลายบาง ต.ปลายบาง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องทุกข์จาก ส.ต.บุญธรรม อายุ 73 ปี (อดีตข้าราชการทหาร) จากกรณีเมื่อช่วงต้นเดือน ม.ค. 64 ได้ถูก น.ส.แอม อายุ 39 ปี  หลอกขายห้องเช่าขนาด 6×6 เมตร ในราคา 100,000 บาท ในพื้นที่ของ อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์ โดย น.ส.แอมได้มีการทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อให้กับผู้เสียหายหลายฉบับและได้มีการโอนเงินจำนวน 30,000 บาท หลายครั้งโดย น.ส.แอม อ้างว่า เจ้าของห้องดังกล่าวต้องการใช้เงินด่วนให้ทยอยโอนไปจนกว่าจะครบ ทางผู้เสียหายโอนเงินไปแล้ว 98,500 บาท จึงมารู้ความจริงว่าโดนหลอกเพราะพอถึงวันโอนกลับไม่สามารถโอนห้องเช่าเป็นชื่อตนได้

ต่อมาเมื่อช่วงเดือน ก.พ. 66 น.ส.แอม ได้โทรฯ มาหาผู้เสียหายและขอเงินจำนวน 12,000 บาท เพื่อจะไปคลอดลูกที่โรงพยาบาล และช่วงเดือน มี.ค. 66 น.ส.แอม ก็ได้ติดต่อมาเพื่อขอยืมเงินอีกรวมจำนวน 345,000 บาท และบอกว่าถ้าขายที่ได้จะนำเงินมาคืนให้ โดยมีการนำโฉนดที่ดินที่อ้างว่าเป็นของตนเองมาให้ดู ภายหลังทราบว่าโฉนดดังกล่าวเป็นโฉนดที่ น.ส.แอม ปลอมขึ้นมา ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 66 น.ส.แอม ก็ได้มีการมาขอยืมเงินอีก 28,000 บาท โดยอ้างว่าจะนำเงินไปใช้หนี้หมอ ซึ่งตอนนั้นผู้เสียหายไม่รู้ว่าหนี้อะไร วันที่ 20 มิ.ย. 66 ก็มาขอยืมเงินอีก 12,000 บาท อ้างว่าหกล้มหัวกระแทกจะต้องไปสแกนสมองที่โรงพยาบาล และจะต้องไปรักษาโดยการฉายแสงที่โรงพยาบาล ต่อมาวันที่ 4 พ.ค. 66 น.ส.แอม ได้โทรฯ มาหาว่าได้ไปเปิดร้านขายของที่งานเกษตรแฟร์ และได้มีเรื่องทะเลาะกันและรถของคู่กรณีเสียหายจะต้องจ่ายค่าเสียหายอีก 50,000 บาท และ น.ส.แอมยังมีการขอยืมเงินอีก 45,000 บาท เพื่อให้ทางแฟนหนุ่มไปจ่ายค่างวดรถที่ค้าง และยังมีการขอยืมอีกหลายครั้ง รวมแล้วเสียเงินกว่า 500,000 บาท เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน 3 ปี แล้วคดียังไม่มีความคืบหน้า ทุกวันนี้ต้องใช้เงินจากเงินเดือนผู้สูงอายุ

ส.ต.บุญธรรม เล่าว่า ตนได้รู้จักกับ น.ส.แอม ผ่านอดีตผู้ใหญ่บ้านที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อช่วงปลายปี 2563 และได้มีการติดต่อพูดคุยกันและตัดสินใจคบหากัน เมื่อช่วงต้นเดือน ก.พ. 64 น.ส.แอม ได้มาบอกตนว่าเจ้าของห้องเช่าในจังหวัดเพชรบูรณ์เขาต้องการจะขายห้องเช่าราคาถูก  ซึ่งบริเวณนี้หาราคาถูกแบบนี้ไม่ได้แล้ว จึงได้มาบอกตนและตัดสินใจซื้อในราคา 100,000 บาท  โดย น.ส.แอม ให้ตนโอนเงินผ่านบัญชีของ น.ส.แอม ครั้งละ 2,000-3,000 บาท หลายครั้ง อ้างว่าทางเจ้าของห้องเช่าดังกล่าวต้องการใช้เงินด่วน ต่อมา น.ส.แอมได้นำหนังสือสัญญาเช่าซื้อมาให้ตนเซ็น และจ่ายเงินอีก 30,000 บาท

โดย น.ส.แอม ทำสัญญามาหลายฉบับ ตนจ่ายเงินเพื่อที่จะซื้อห้องเช่าดังกล่าวไปแล้ว 98,500 บาท จึงมาทราบความจริงว่าถูก น.ส.แอม หลอก เพราะว่าหลานของตนได้ไปดูที่ห้องเช่าดังกล่าว และสอบถามกับเจ้าของโดยตรงปรากฏว่าเจ้าของห้องเช่าดังกล่าวไม่ได้จะขายอย่างที่ น.ส.แอม บอกตนจึงได้ถามว่าทำไมมาหลอกตนแบบนี้ ทาง น.ส.แอมตอบว่า ถ้าขอเงินตรงๆ ตนก็คงไม่ให้เลยต้องอ้างเรื่องซื้อห้องเช่าแบบนี้ หลังจากนั้นตนก็เลิกติดต่อกันไปและมาแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ปลายบาง ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค. 64 แต่ตอนนี้ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย

ต่อมาเมื่อเดือน ก.พ. 65 น.ส.แอม ก็ได้ติดต่อมาหาตนและบอกว่าท้องและจะขอเงิน 12,000 บาทเพื่อเป็นค่าคลอด ด้วยความสงสารตนจึงให้ไป หลังจากนั้น น.ส.แอม ก็ติดต่อตนมาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะขอยืมเงิน และโกหกว่าป่วยต้องใช้เงินรักษาตัวและมาขอยืมเงินอีกหลายหมื่นบาท แต่ช่วง เดือน มี.ค. 66 น.ส.แอม ได้มาขอยืมเงินตน 300,000 บาท และบอกว่าหากขายที่ดินได้จะนำเงินมาคืน พร้อมกับให้ดูโฉนดที่ดินที่ไปคัดมาให้ตนดู และบอกว่าจะขายที่ดินแปลงนี้ราคา 450,000 บาท และจะใช้หนี้ตน 300,000 บาท ทันที ตนจึงยอมให้ยืมไปโดยใช้เงินเก็บทั้งหมดที่อยู่ในบัญชีธนาคารของตน และยังนำสร้อยคอทองคำหนัก 2 บาท ไปจำนำเพื่อนำเงินไปให้ น.ส.แอม ต่อมาตนมาทราบความจริงว่าโฉนดที่ดินดังกล่าว น.ส.แอม ปลอมขึ้นมา เพราะหลานของตนไปตรวจสอบกับสำนักงานที่ดินมาแล้วพบว่าโฉนดดังกล่าว เจ้าของเป็นชื่อแม่ของ น.ส.แอม หนำซ้ำยังถูกนำไปจำนองไว้กับหมอคนหนึ่งที่ น.ส.แอม นำมาอ้างกับตนว่าจะไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลในตอนแรก 

ต่อมาตนได้ติดต่อไปยังคุณหมอคนดังกล่าว ก็ทราบว่าแม่ของ น.ส.แอม นำโฉนดที่ดินดังกล่าวมาจำนองไว้กับหมอนานแล้ว และทางครอบครัวของหมอก็เคยช่วยเหลือ น.ส.แอมมาแล้วหลายครั้ง จนไม่อยากจะช่วยเหลืออะไรแล้ว พอตนทราบเรื่องก็ได้ติดต่อกับ น.ส.แอม เพื่อสอบถามเรื่องราวและขอเงินคืน แต่ น.ส.แอม ไม่ยอมคืนเงินให้ ตนจึงได้ตกลงทำสัญญาให้คืนเงินเดือนละ 5,000 บาท แต่ตั้งแต่ทำสัญญา ตนไม่เคยได้รับเงินคืนเลยซักบาท ทุกวันนี้เงินเก็บไม่เหลือซักบาท ตอนนี้ตนใช้เงินจากเบี้ยผู้สูงอายุเท่านั้น แต่มีลูกสาวก็คอยให้เงินอยู่เวลาไม่พอใช้ ต่อมาจึงได้ตัดสินใจมาแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนที่ สภ.ปลายบาง ตั้งแต่วันที่ 10 ม.ค. 67 จนกระทั่งตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกสอบปากคำไปแค่ 2 ครั้ง และไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยโทรฯ หาร้อยเวรก็ไม่รับสาย จนต้องเดินทางมาสอบถามความคืบหน้าด้วยตัวเองในวันนี้

พ.ต.ท.เฉลียว แดงยิ้ม รอง ผกก.(สอบสวน) สภ.ปลายบาง  กล่าวว่า กรณีนี้ทางร้อยเวรเคยเรียกผู้เสียหายมาสอบปากคำไปแล้ว 2-3 ครั้ง และได้ให้คำปรึกษาในด้านกฎหมายไปแล้ว แต่ข้อมูลรายละเอียดขอปิดเป็นความลับ เพราะเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายและผู้เสียหายโดยตรง ในส่วนนี้คาดว่าอาจจะเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาดทำให้ทางผู้เสียหาย คิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ดำเนินการอะไร ในวันนี้ทางผู้เสียหายได้เดินทางเข้ามาสอบถามความคืบหน้า ตนจึงได้ช่วยอธิบายในเรื่องของข้อกฎหมายต่างๆ และรับปากว่าจะช่วยเหลือเต็มที่ หลังจากนี้จะเรียกทางฝั่งคู่กรณีให้เข้ามาเจรจากันก่อน และหากทางผู้เสียหายต้องการเข้าสู่ขั้นตอนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ตนก็จะช่วยประสานเจ้าหน้าที่ยุติธรรมจังหวัด เพื่อเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายต่อไป