ภายหลังที่ประชุมวุฒิสภา เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 พิจารณาเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ …) พ.ศ. … หรือ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม ทำให้ประเทศไทยเป็นชาติแรกในอาเซียน เป็นแห่งที่ 3 ของทวีปเอเชีย และแห่งที่ 38 ของโลก ที่จะมีกฎหมายสมรสเท่าเทียม

ทั้งนี้ ในช่วงปี 2561-2562 ไทยมีรายได้จากนักท่องเที่ยวกลุ่ม LGBTQ+ ทั่วโลก เป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชีย (6.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และอันดับ 4 ของโลก รองจาก สหรัฐอเมริกา (25.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ), สเปน (8.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) และฝรั่งเศส (7.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)

ข้อมูลจาก “เทอร์ร่า บีเคเค” ระบุว่า กลุ่ม LGBTQ+ ทั่วโลกมีพฤติกรรมการเดินทางท่องเที่ยวอย่างน้อยปีละ 3-4 ครั้ง มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไป 7 เท่า ส่วนใหญ่นิยมเดินทางมาเพื่อประกอบกิจกรรมที่ตนสนใจ ได้แก่ ถ่ายรูปเช็กอินร้านอาหารหรือจุดเด่นสำคัญ กีฬากลางแจ้งหรือกิจกรรม Soft Adventure รวมทั้งการท่องเที่ยวกลางคืน (Nightlife) นิยมสินค้าด้านความบันเทิงและสันทนาการ 

รวมไปถึงสินค้าด้าน Health and wellness ซึ่งเป็นสินค้าที่ตรงตามความต้องการเสนอขายของไทย อีกทั้งชาว LGBTQ+ ใส่ใจสิ่งแวดล้อมกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า

สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวของชาวต่างชาติที่ได้รับความนิยมของกลุ่ม LGBTQ+ ในประเทศไทย 5 จังหวัด ได้แก่ 

1.กรุงเทพฯ 

2.เชียงใหม่ 

3.ภูเก็ต 

4.เกาะสมุย (จ.สุราษฎ์ธานี)

5.พัทยา (จ.ชลบุรี)

สาเหตุ 5 จังหวัดที่นิยมเพราะอะไร? เนื่องจากมีธรรมชาติที่สวยงาม เช่น ภูเขา ทะเล และมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน มีแหล่งท่องเที่ยวกลางคืนที่สอดรับกับไลฟ์สไตล์กลุ่มนี้ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศยุโรปที่หนีความวุ่นวายจากการทำงานมาพักผ่อนในไทย

ขณะที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เล็งเห็นโอกาสในการส่งเสริมตลาด จึงได้ร่วมกับพันธมิตรเฉลิมฉลองเดือนแห่ง Pride อย่างยิ่งใหญ่ ในช่วงเดือน Pride Month ด้วยการสนับสนุนการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ประเทศไทยในการเป็น Pride Friendly Destination และพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย

ที่มา : “เดลินิวส์” รวบรวม ณ วันที่ 19 มิ.ย. 67