เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. เวลา 11.35 น. ที่รัฐสภา  ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568  นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ปี 2567 เป็นงบเหมือนกับเป็ดง่อย เพราะรัฐบาลใช้เวลาไปรื้องบที่รัฐบาลที่แล้วทำไว้เดิม ทำให้การใช้เงินล่าช้าเกือบ 7 เดือน บวกกับประสิทธิภาพการใช้งบฯ ของรัฐบาลชุดนี้ทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเฉพาะงบลงทุน 8 เดือน ประมาณ 51 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศในปี 2567 โตต่ำกว่าเป้า ที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.งบประมาณฯ และในเอกสารงบประมาณฯ ว่าจะทำให้โต 5.4 เปอร์เซ็นต์ รวมเงินเฟ้อคงประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์กว่า แต่แค่ 4 เปอร์เซ็นต์กว่าก็ไม่ถึง ทุกสำนักประเมินตรงกันหมดว่าอย่างดี ก็คงได้ประมาณ 2.5 เปอร์เซ็นต์ แม้แต่รมว.คลังเพิ่งยอมรับว่าปีนี้โอกาสเศรษฐกิจจะโตแค่ 2.5 เปอร์เซ็นต์ แต่จะพยายามเบ่งให้ได้ 3 เปอร์เซ็นต์ และ 2.5 เปอร์เซ็นต์ดังกล่าว แม้จะรวมโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตเข้าไป ซึ่งสภาพัฒน์ ประเมินว่าก็ทำให้เศรษฐกิจโตได้แค่ 0.25 เปอร์เซ็นต์ สมมุติว่าดิจิทัลวอลเล็ต ได้ทำจริงเศรษฐกิจก็จะโตแค่ 2.5 บวก 0.25 เปอร์เซ็นต์ เต็มที่อยู่ที่ 2.75 เปอร์เซ็นต์ นี่คือสิ่งที่ทำไมตนถึงต้องบอกว่างบปี 67 คืองบเป็ดง่อย

นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า ส่วนร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2568 ซึ่งเป็นร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฉบับที่ 2 ของรัฐบาลชุดนี้ อันนี้อิเหนาทำเองร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ได้มีฐานรากมาจากรัฐบาลที่แล้วแต่อย่างใด แต่ข้อน่าสังเกตคือใส่ดิจิทัลวอลเล็ตโดยสารมาด้วยในงบกลาง จำนวน 152,700 ล้านบาท โดยงบประมาณปี 2568 ตั้งไว้ 3.75 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้ว 7.8 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งตนดูหลายรอบ ภาพรวมทั้ง “ขี้หก ขี้เหร่” เพราะงบประมาณฯ ปี 2567 นายกฯ สัญญาไว้กลางสภาในการพิจารณาวาระ 1 ว่าถัดไปท่านจะทำ 4 เพิ่ม 1 ลด คือจะเพิ่มรายได้ให้ประเทศ และจะลดการขาดดุลงบประมาณลงมา เป็นต้น แต่ปรากฏว่าเมื่อดูตัวเลขลึกลงไปในรายละเอียด กลายเป็นละครคนละเรื่อง เหมือนเห็นสภาเป็นศาลาโกหก เพราะไม่ได้เป็นไปตามนั้น และถ้าดูลึกลงไปยิ่งกว่านั้นอีก ขณะที่รายละเอียดมีความขี้เหร่ ซุกซ่อนอยู่มากมาย 5 ประเด็น คือ ขี้เหร่ที่ 1 เรื่องรายได้ ซึ่งนายกฯ บอกว่าจะทำรายได้เพิ่ม ซึ่งตนหมายถึงนายกฯ คงพูดเรื่องรายได้สุทธิ เพราะรายได้อื่นก็ไม่มีประโยชน์มันตัวหลอก เพราะตัวจริงคือรายได้สิทธิ แต่เมื่อไปดูตัวเลขรายได้สิทธิของงบประมาณฯ ปี 2568 เหลือ 76.9 เปอร์เซ็นต์ ของวงเงินงบประมาณ จากปี 2567 รายได้สิทธิ 80.1 เปอร์เซ็นต์  ซึ่งเป็นตัวฟ้องว่ามันไม่ตรงกับที่นายกฯ สัญญากับสภาไว้ โดยเฉพาะประสิทธิภาพการเก็บรายได้ เฉพาะ 7 เดือนของงบประมาณฯ ปี 2567 ปรากฏว่ายังเก็บรายได้ต่ำเป้า 39,000 ล้านบาท

นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า ขี้เหร่ที่ 2 การขาดดุลงบประมาณ นายกฯ ให้สัญญาว่าจะลดการขาดดุลงบประมาณลงมาในปี 2568 แต่เมื่อไปดูปรากฏว่าไม่เท่าเดิม ไม่ลดแล้วยังเพิ่มการขาดดุลมหาศาล เพราะงบประมาณฯ ปี 2568 ขาดดุลมากกว่างบประมาณฯ ปี 2567 ถึง 865,700 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.9 เปอร์เซ็นต์ คือ 1 ใน 4 ของวงเงินงบประมาณทั้งหมด นายกฯ อาจจะอ้างว่า ขาดดุลเพิ่มเพราะต้องเอาไปทำดิจิทัลวอลเล็ต แต่ดิจิทัลวอลเล็ตที่ใส่มาแค่ 152,700 ล้านบาท เมื่อเอาไปลบ ก็ยังขาดดุลเพิ่มกว่าปี 2567 ถึง 20,000 ล้านบาท ไม่ได้ลดการขาดดุลอย่างที่นายกฯ ให้สัญญาไว้ แต่ที่ขี้เหร่ที่สุด ปรากฏว่างบประมาณฯ ปี 2568 ขาดดุลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ คือขาดดุลมากถึง 4.42 เปอร์เซ็นต์ ของจีดีพีประเทศ เกือบชนเพดานวินัยการเงินการคลัง เหลืออีกแค่ 40 ล้านบาทเท่านั้น ชนเพดานหัวแบะ

“ขี้เหร่ของความขี้เหร่คือภายใต้รัฐบาลนี้  ถ้าอยู่ครบวาระ 4 ปี ยังจะคิดจัดงบฯ ขาดดุลต่อไปอีกตลอดอายุรัฐบาลนี้ ซึ่งจะส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นตลอด 4 ปีที่อยู่ในอายุของรัฐบาล แล้วจะเพิ่มขึ้นทุกปี ดูได้จากแผนการคลังระยะปานกลางปี 2568-2571 ฉบับทบทวน ที่ครม.เพิ่งอนุมัติไปเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ซึ่งคือภาระที่จะเกิดกับประเทศ” นายจุรินทร์ กล่าว

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ขี้เหร่ที่ 3 เรื่องเงินกู้ หรือการกู้เงิน เพราะงบประมาณฯ ปี 2567 และปี 2568 รัฐบาลชุดนี้ต้องกู้มาชดเชยการขาดดุลรวม 1.5 ล้านล้านบาท ยังไม่รวมกู้มาแจก เพียงแต่ใน 1.5 ล้านล้านบาท มีกู้มาแจกคือดิจิทัลวอลเล็ต ที่ใส่ลงไปในงบปะมาณ ปี 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท  เพราะฉะนั้นยังเหลือเงินที่ต้องกู้อีก 347,300 ล้านบาท เพื่อให้ครบ 500,000 ล้านบาท ถ้ามารวมงบขาดดุล 2 ปี สุดท้ายรัฐบาลนี้จะก่อหนี้ 1.9 ล้านล้านบาท รวมบริหาร 2 ปี กู้เกือบ 2 ล้านล้านบาท

“ปีที่แล้วผมบอกว่านายกฯ เป็นนักกู้ถุงเท้าสีชมพู ปีนี้ต้องให้เป็นนักกู้ผ้าขาวม้าพันคอ เพราะยังกู้หนักกว่าเดิม แต่เวลาใช้หนี้ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของหนี้ที่ก่อ อันนี้คือสิ่งที่น่าเป็นหวง เพราะมันพอกพูนไปเป็นภาระของประเทศในอนาคตต่อไป พอพ้นรัฐบาลนี้แล้ว” นายจุรินทร์ กล่าว

นายจุรินทร์ กล่าวว่า ขี้เหร่ที่ 4 การตั้งตัวเลขจีดีพีสูงเกินจริง เพราะงบประมาณปี 2567 รัฐบาลตั้งจีดีพีไว้ 5.4 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้สารภาพบาปแล้ว ปรากฏว่าปี 2567 ลดจาก 5.4 เปอร์เซ็นต์ มาเหลือ 4.1 เปอร์เซ็นต์ ทั้งที่ทุกสำนักบอกบวกได้แค่ 2.5 เปอร์เซ็นต์ แล้วเอา 4.1 เปอร์เซ็นต์มาเป็นฐานคำนวณจีดีพีปี 2568 โดยบอกว่าจะบวก 4.9 เปอร์เซ็นต์ เอาฐานที่สูงเกินจริงมาคำนวณจีดีพี 68 สุดท้ายก็กลายเป็นจีดีพีฟองสบู่  เพราะ 4.9 เปอร์เซ็นต์ที่บอกว่าจะโตนั้นตนเข้าใจ แต่อาจจะเพื่อให้สมกับที่นายกฯ พยายามพูดว่าจะทำจีดีพีโต 5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทุกสำนักบอกว่าจะโตได้แค่ 3 เปอร์เซ็นต์ ขี้เหร่ที่ 5 เรื่องดิจิทัลวอลเล็ต จากนโยบายเรือธง วันนี้กลายเป็นนโยบายเรือเกลือไปแล้ว สัญญาจะทำทันที แต่เวลาล่วงเลยมาแล้ว ตนทวงถามแทนประชาชนทุกครั้ง เพราะตั้งหลักว่าเมื่อพรรคการเมืองไปสัญญากับประชาชนไว้แล้ว ต้องมีความรับผิดชอบ รัฐบาลแถลงว่าแจกแน่ในไตมาสที่ 4 คือวันที่ 1 ต.ค. 2567 แจกรวดเดียว 500,000 ล้านบาท แปลว่าถ้าไม่ได้เงินครบ 500,000 ล้านบาท ก็จะยังไม่แจกใช่หรือไม่ และเงิน 500,000 ล้านบาท จะเอามาจาก 3 แหล่งสำคัญ คือจากงบประมาณฯ ปี 2568 งบประมาณฯ ปี 2567 และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) คำถามคือแปลว่าจนวันนี้รัฐบาลยังไม่มีเงินสักบาทเดียวใช่หรือไม่ เพราะงบประมาณฯ ปี 2568 ยังต้องรอผ่านสภา ส่วนงบประมาณฯปี 2567 ยังไม่ได้ขอมาเลยที่จะออก พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ส่วน ธ.ก.ส.ยังไม่ได้ยืมสักบาท

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า มีคนนินทาว่าสุดท้ายไปเอามาจากงบฉุกเฉินปี 2567 ที่ตั้งไว้ 99,500 ล้านบาท และพบพิรุธ เบิกจ่ายงบฉุกเฉินปีนี้ต่ำมากๆ มีคนบอกว่าเบิกไปแค่หลักพันล้านบาท แสดงว่าเป็นความตั้งใจว่ายอมไม่ใช้งบปี 2567 เพื่อให้เหลือเงินฉุกเฉินเยอะๆ แล้วจะได้เอาไปแปลงเป็นดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อกู้มาแจก บรรลุเป้าหมายพรรคการเมืองได้ แต่ถ้าทำแบบนี้จริง ผมคิดว่ารัฐบาลนี้ใจดำมาก เพราะพยายามไม่ใช้เงินของปี 2567 จะส่งผลให้จีดีพี ปี 2567 โตต่ำเตี้ยหนักเข้าไปอีก เพียงเพื่อให้เหลือเงินไปสนองพรรคการเมือง นี่คือสิ่งที่รัฐบาลต้องตระหนัก ส่วนเงิน ธ.ก.ส.ก็เอามาแจกไม่ได้ หมิ่นเหม่ผิดกฎหมาย เพราะเอาไว้ดูแลเกษตรกรเท่านั้น จะเอาไปให้รัฐบาลกู้มาแจกแบบเหวี่ยงแหเฮลิคอปเตอร์มันนี่ มันทำไม่ได้ จนถึงวันนี้รัฐบาลยังไม่ถามกฤษฎีกาเลยว่าทำได้หรือไม่ แต่มาของบ 68 ก่อน เหมือนตั้งใจที่จะลักไก่กับสภาต่อหน้าประชาชน สุดท้ายดิจิทัลวอลเล็ตอนาคตเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้าย

“ที่ผมพูดมาอยากให้เห็นว่างบประมาณฯ ปี 2568 เหมือนงบเป็ดขี้เหร่ ที่สำคัญรัฐบาล 2 ปีจะใช้เงินงบประมาณ 2567 และ 2568 รวมแล้วประมาณ 6.7 ล้านล้านบาท ผลงานมันไม่ประทับใจจอร์จเลย ผลสัมฤทธิ์ของงานที่ปรากฏออกมามันสวนทางกับตัวเลขงบประมาณที่ขอมา” นายจุรินทร์ กล่าว

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ส่วนการปรับ ครม.เปลี่ยนแค่ต่างตอบแทน 1 มาเป็นต่างตอบแทน 2 สุดท้ายติดลบมากกว่าติดบวก ปรับปุ๊บรัฐมนตรีออก 3 คนและนำไปสู่คดี 40 สว.ร้องศาลรัฐธรรมนูญ จะไปโทษ 40 สว.ไม่ได้ เพราะท่านทำหน้าที่ของท่าน แต่ถ้านายกฯ ไม่ปรับ ครม.แบบนี้ สว.ก็ไปยื่นไม่ได้ ทั้งหมดจึงเกิดจากรัฐบาล และทำให้เสถียรภาพ ครม.วันนี้เหมือนกับรัฐมนตรีอีก 30 กว่าคน ถูกเอาผ้าขาวม้าแขวนคออยู่บนเพดาน ไม่รู้ว่าจะรอดหรือจะร่วง นี่คือการเมืองที่ไปกระทบเศรษฐกิจและอื่นๆ นอกจากนั้นยังมีนายกฯ 2 คน ที่ยังตามหลอนนายกฯ อยู่ทุกวันนี้ ที่ลามไปถึงการเมืองระหว่าประเทศ นายกฯ ไม่กล้าทำอะไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องตระหนัก

“รัฐนาวาไทยวันนี้ถ้าเป็นรถยนต์ก็เหมือนกับรถยนต์แบบ 1 พวงมาลัย 2 คนขับ ที่น่าหวาดเสียวที่สุดคือ แม้จะนั่งเก้าอี้คนละตัว แต่ปรากฏว่าจับพวงมาลัยอันเดียวพร้อมกันสองคน และเรื่อง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่ใช่เรื่องเก่าแต่เป็นเรื่องปัจจุบันและกำลังจะเป็นเรื่องอนาคต ต้องใช้เงินงบประมาณแผ่นดินจึงจะทำได้  ที่สำคัญจะมีผลกระทบมากมายต่อการเมือง เศรษฐกิจ สังคมไทยในอนาคต  เพราะ พ.ร.บ.นี้จะเป็นสารตั้งต้นสำคัญตัวหนึ่งที่จะพาประเทศไปสู่ความปรองดอง หรือนำพาประเทศไปสู่ความแตกแยกครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ขอถามนายกฯ ในฐานะคุมเสียงข้างมากในสภา 1.รัฐบาลมีนโยบายจะเสนอหรือสนับสนุน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือไม่ 2. รัฐบาลจะสนับสนุนการนิรโทษกรรมที่รวมคดีทุจริต ความผิดตามมาตรา 157 หรือไม่ 3.จะรวมคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือไม่ เพราะห่วงว่าถ้ามีจะเปลี่ยนจาก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเพื่อความปรองดอง เป็นนิรโทษกรรมอำพรางหรือไม่ เพราะอดีตเคยสอนเรามาแล้ว จากนิรโทษกรรมครึ่งเข่งกลายเป็นนิรโทษกรรมยกเข่ง และสุดท้ายบ้านเมืองเสียหายยับเยิน สุดท้ายงบประมาณปี 2568 วาระ 1 ผ่านสภา แต่วาระ 3 อาจต้องถามศาลรัฐธรรมนูญ” นายจุรินทร์ กล่าว