ที่สำคัญแต่ละคดีย่อมส่งผลกระทบต่อการเมืองไทยให้ต้อง “นับถอยหลัง”  แยกเป็น 3 คดีอยู่ในมือ “ศาลรัฐธรรมนูญ” และ 1 คดีกำลังจะเข้าไปสู่ระบบของ “ศาลอาญา” ซึ่งเป็นคดีมีบุคคลสำคัญนักการเมืองระดับประเทศเกี่ยวข้อง มีโอกาสลุ้นระทึกให้ได้เสียวกันทุกคดี 

แน่นอนว่าเรื่องแรกถือเป็นจุดพลิกเกมสำคัญ ปมร้อน 40 สว. ยื่นศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรีของ “เศรษฐา ทวีสิน” จากกรณีแต่งตั้ง ”พิชิต ชื่นบาน“ เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญให้ 40 สว. เรียกบัญชีระบุพยานต่อศาลรัฐธรรมนูญเพิ่มเติม โดยฝั่งสว.ส่ง 3 พยานบุคคล ไปช่วยชี้แจงเพิ่มเติม ในประเด็นที่อาจจะถูกซักถามรายละเอียด เช่นเดียวกับฝั่งรัฐบาลส่ง 1 พยานบุคคล 

เรื่องร้อนที่สอง หนีไม่พ้นปม “ยุบพรรคก้าวไกล” ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเรียกบัญชีระบุพยานจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ส่งมาที่ศาลภายในวันที่ 18 มิถุนายน ซึ่งฝั่ง “พรรคส้ม” ยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง พร้อมระบุว่า กกต. ไม่มีอำนาจยื่นคำร้องนี้ เนื่องจากไม่เคยเรียกพรรคก้าวไกลเข้าชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา ดังนั้นคำร้องดังกล่าว จึงไม่เป็นไปตามระเบียบการไต่สวน ขณะที่ ”ฝั่ง กกต.“ เองก็ยืนยันว่า กกต. มีหลักฐานอันควรเชื่อได้แล้ว ถ้าขนาดที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ยังไม่ใช่หลักฐานอันควรเชื่อถือได้ กกต. คงตอบกลับสังคมยาก 

เรื่องร้อนที่สาม ชี้ขาดกฎหมาย สว. ซึ่งศาลปกครองส่งคำโต้แย้งของผู้สมัคร สว. 6 คน มาให้ศาลรัฐธรรมนูญประชุมพิจารณาเรื่องพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 มาตรา 36, 40, 41 และมาตรา 42 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 107 หรือไม่ โดยศาลกำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติในวันที่ 18 มิถุนายน ซึ่งแนวทางหากผลออกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจจะเป็น “สารตั้งต้น” นำไปสู่การฟ้องร้องให้การเลือก สว. ที่เกิดขึ้นเป็น “โมฆะ” ได้

ปิดจบเรื่องร้อนสุดท้าย คดีที่อัยการสูงสุด (อสส.) สั่งฟ้อง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ถูกกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หลังจากอัยการมีคำสั่งฟ้องคดี เมื่อ 29 พฤษภาคม เจ้าตัวอ้างว่าติดโควิด-19 ต้องเลื่อนนัดส่งตัวฟ้องศาลมาเป็นวันที่ 18 มิถุนายน ซึ่งทีมกฎหมายของได้ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการ เพื่อคัดค้านการสั่งฟ้อง หาก “นายใหญ่” ไปพบอัยการ และนำตัวส่งฟ้องศาลอาญา ต้องลุ้นว่าศาลจะให้ประกันตัวหรือไม่ ซึ่งหากผลออกมาต้องถูก “จองจำ” อีกครั้ง ย่อมมีผลกระทบกระเทือนต่อรัฐบาลปัจจุบันแน่นอน

ตามปรากฏการณ์คดีร้อนการเมือง 4 คดี ที่ยากต่อความคาดหมาย ต้องลุ้นพลิกคว่ำพลิกหงาย บวกกับความซับซ้อนของเหลี่ยมคมกฎหมาย และเหลี่ยมซ่อนเงื่อนเกมอำนาจทางการเมือง คาดเดาได้ยากว่าพระเอกหรือผู้ร้ายจะตายตอนจบ เพราะเกมประลองอำนาจ กระบวนการคดีสำคัญแขวนต่องแต่งอยู่ในศาล ทำการเมืองป่วนเข้าทางวิบาก เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำตลาดหุ้นมีความกังวล ลากเศรษฐกิจเสี่ยงพังทั้งกระดาน จึงทำให้เดือนมิถุนายน กลาย “มิถุนาเดือด” อย่างที่เห็น.