จากกรณีที่ เกิดเหตุเพลิงไหม้รถยนต์ บริเวณติดกับสนามฟุตบอล “ธรรมศาสตร์ สเตเดี่ยม” ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เกมรอบชิงรีโว่คัพ ที่ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด เฉือนชนะ เมืองทอง ยูไนเต็ด 1-0 เมื่อช่วงค่ำวันที่ 16 มิ.ย.

โดยรถกระบะสีขาว คันดังกล่าว จอดอยู่บริเวณหลังอัฒจันทร์ โซน N ผู้ปกครองพาเด็กมาแข่งขันฟุตบอลบริเวณนั้น ไม่ได้มาชมฟุตบอลแต่อย่างใด มีผู้เห็นเหตุการณ์ ระบุว่า มีพลุแฟลร์ ลอยตกลงมาที่รถ สะเก็ดไฟร่วงใส่ผ้ายางปิดฝาท้ายแล้วลุกลามเข้าห้องโดยสาร ทั้งนี้ หลังเกมจบ มีการจุดพลุจากกองเชียร์ในสนาม

อย่างไรก็ตาม พลุแฟลร์ ที่ทำมให้เพลิงไหม้รถกระบะวอด นั้น ไม่แน่ชัดว่า จากการจุดตั้งแต่ในสนาม หรือมาจุดนอกสนาม โดยระหว่างที่เจ้าหน้าที่เข้าเคลียร์รถที่เพลิงไหม้ ไฟดับไปแล้ว มีเจ้าหน้าที่ตำรวจแถวนั้นด้วย ก็ยังมีการจุดพลุบริเวณสนาม แต่นอกอัฒจันทร์ และมีรายงานว่ามีการทะเลาะกันด้วยจากแฟนบอล

ขณะเดียวกัน นายอรุณ ที่เป็นเจ้าของรถกระบะที่โดนไฟไหม้ เมื่อมาเห็นสภาพก็มีอาการตะลึง ที่รถตัวเองวอดทั้งคัน กล่าวว่า รถคันนี้ไม่มีประกัน ตนเองพาลูกชายมาแข่งบอล ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเกมรอบชิงชนะเลิศรีโว่คัพ มาจอดทั้งแต่เที่ยง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้มาจอดตรงนี้ได้ รถที่โดนไฟไหม้ไปนั้น ตนก็ต้องใช้งาน ตอนนี้เหลือแต่กุญแจรถดอกเดียว ผมจะทำงานอย่างไร อยากรู้ว่าเมื่อเป็นแบบนี้ สมาคมฯ หรือใครจะรับผิดชอบ การไปแจ้งความนั้น กระบวนการยุติธรรมช้า ตอนนี้ต้องการคนออกมารับผิดชอบ รถต้องใช้ทำมาหากิน เข้าใจว่าต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่สืบสวน แต่ตนต้องใช้รถ ก็ต้องเข้าใจตนเองด้วย

คุณอรุณ เจ้าของรถที่เสียหาย

“ผมประชาชนคนหนึ่ง ผมไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้นกับเกมกีฬาพวกคุณ จัดก็ไม่ว่า ผมก็ชอบ ผมก็นักฟุตบอล แต่เกิดแบบนี้ใครรับผิดชอบ ฝากสื่อทุกสำนัก เรื่องนี้ผมไม่ยอม ผมเป็นพลเมือง ไม่เกี่ยวข้องกับกีฬานี้”

“อาจมีกองเชียร์นอกลู่นอกแถว แต่มันเกิดแบบนี้ได้ไง ทำไมก่อนเข้างานไม่ตรวจ ไม่มีมาตรการตรวจเข้มเหรอ แล้วประชาชนตาดำๆ อย่างผมมาเจอเหตุ ถ้ารู้ว่าเสี่ยงแบบนี้ ผมไม่มาหรอก ทัวร์นาเมนต์ใหญ่ๆ ต้องมีการป้องกัน นี่มันปลายเหตุ ต้นเหตุไม่ควรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ว่าเอาพลุเข้าสนามแข่ง” นายอรุณ กล่าวแบบเซ็งๆ

(ขอขอบคุณภาพจากเพจ ปทุมธานี ที่นี่มีแต่เรื่อง)