เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. 67 นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นต่อผลวิจัย บางส่วนที่เปิดเผยว่า การปลดล็อกกัญชาออกจากยาเสพติด ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้นว่า มันมีการบิดเบือนข้อมูล เป็นการนำข้อมูลหลังการปลดล็อกกัญชาตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. 65 ต่อเนื่องถึงปี 66 และ 67 ซึ่งเป็นช่วงเวลาคลี่คลายจากสถานการณ์โควิด-19 ไปเปรียบเทียบกับช่วงเวลาในปี 64 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผิดปกติ เพราะเป็นปีที่มีการล็อกดาวน์อย่างเข้มข้นในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 โดยอ้างว่าหลังปลดล็อกแล้ว ตัวเลขผู้ใช้กัญชาที่เข้าโรงพยาบาลมากขึ้นก็ดี หรือหลังปลดล็อกกัญชาแล้ว จำนวนผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้นก็ดี เป็นการเปรียบเทียบที่ไม่ถูกต้อง เช่น การอ้างว่าในปี 66 มีผู้ป่วยที่เข้ารับบริการด้านจิตเวชเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลเมื่อเทียบกับปีก่อน ปลดล็อกกัญชาในปี 64 ซึ่งเป็นปีที่ล็อกดาวน์ทั้งประเทศ

นายปานเทพ กล่าวต่อว่า แต่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้นำรายงานจากกรมสุขภาพจิต พบความจริงว่าในปีงบประมาณปี 66 มีผู้รับบริการด้านจิตเวชประมาณ 2.9 ล้านคน ซึ่งใกล้เคียงกับปี 62 ซึ่งเป็นปีเริ่มเข้าสู่โควิด-19 คือประมาณ 2.8 ล้านคน และน้อยกว่าปี 61 ด้วย

“อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้รับบริการอาจไม่ได้สะท้อนผู้ป่วยจิตเวชทั้งหมดในประเทศ โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิด-19 ผู้ป่วยจิตเวชอาจไม่มารับบริการในโรงพยาบาลในสถานการณ์ล็อกดาวน์ ทำให้ผู้ป่วยที่มารับบริการน้อยกว่าความเป็นจริงในปี 64 และทยอยมารับบริการมากขึ้นในปี 65, 66 และ 67 โดยไม่สามารถสรุปเหมาเอาได้ว่าผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้น เพราะมาจากการปลดล็อกกัญชาในช่วง 2 ปี ทั้งนี้องค์การอนามัยโลก ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า 1 ใน 8 ของคนทั่วโลก มีปัญหาด้านสุขภาพจิต หรือคิดเป็น 970 ล้านคนทั่วโลก และสถานการณ์ดังกล่าวรุนแรงขึ้น เมื่อโลกเผชิญกับวิกฤติโควิด-19 ที่ส่งผลให้ประชาชนทั่วโลกเกิดความวิตกกังวลและได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ” นายปานเทพ กล่าว

คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อพิจารณารายงานสัดส่วนของผู้เข้ารับบริการด้านจิตเวชในประเทศไทยที่เกี่ยวข้องกับยาบ้า และยาเสพติดอื่นๆ กลับมีสัดส่วนลดลง โดยในปี 64 ก่อนปลดล็อกกัญชามีผู้ป่วยจิตเวชที่เข้ารับบริการใช้ยาบ้าและสารเสพติดอื่นๆ คือเป็นสัดส่วนร้อยละ 15.5 ลดลงมาเหลือร้อยละ 13.7 ในปี 65 และลดลงเหลือร้อยละ 12.8 ในปี 66 โดยสัดส่วนของผู้ป่วยกลุ่มโรควิตกกังวลและโรคซึมเศร้า มีสัดส่วนสูงที่สุดของผู้ป่วยจิตเวชที่เข้ารับบริการ

นายปานเทพ กล่าวว่า โดยฐานข้อมูลของ HDC กระทรวงสาธาณสุขระหว่างปีงบประมาณ 64-67 ระบุว่า ผู้มารับบำบัดและฟื้นฟูยาเสพติดในปีงบประมาณ ปี 64 เฉลี่ยต่อเดือน 14,647 ราย, ปีงบประมาณ 65 เฉลี่ยต่อเดือน 10,514 ราย, ปีงบประมาณ 66 เฉลี่ยต่อเดือน 13,883 ราย และ 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 67 เฉลี่ย 10,789 ราย แปลว่าสถิติผู้มารับการบำบัดและฟื้นฟูยาเสพติดปี 64-67 ลดลงเฉลี่ยเดือนละ 2,225 ราย หรือปีละ 26,705 ราย ดังนั้นการปลดล็อกกัญชาแล้วเพิ่มปัญหาจิตเวชและเพิ่มการบำบัดรักษาและฟื้นฟูยาเสพติด จึงเป็นข้อมูลที่ไม่เป็นความจริง

“จากสถิติของข้อมูลการบำบัดรักษายาเสพติดในประเทศไทยถึง 3 เดือนแรกของต้นปีงบประมาณ 66 พบว่า ผู้ที่เข้าบำบัดรักษามากถึง ร้อยละ 75 คือ “ยาบ้า” ในขณะที่กัญชามีผู้เข้ารับการบำบัดเพียงประมาณ ร้อยละ 4 ทั้งๆ ที่ยาบ้าอยู่ในบัญชียาเสพติดและมีบทลงโทษรุนแรงยิ่งกว่ากัญชา สะท้อนให้เห็นว่าแม้ในขณะที่กัญชาถูกปลดล็อกออกจากบัญชียาเสพติด และยังไม่มีพระราชบัญญัติในการควบคุม แต่ก็ส่งผลกระทบน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับยาบ้า ดังน้้นจึงเป็นบทพิสูจน์ว่า การนำสิ่งใดไปอยู่ในบัญชียาเสพติด อาจจะไม่สามารถเป็นหลักประกันในการแก้ไขปัญหาได้ ตราบใดที่ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่การไม่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง” นายปานเทพ กล่าว.