อุตสาหกรรมแฟชั่น(สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม)มีส่วนทำให้เกิดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในสัดส่วนที่สูงซึ่งมากกว่าหลายๆ อุตสาหกรรม ด้วยห่วงโซ่อุปทานที่ยาวและซับซ้อนจึงไม่น่าแปลกใจที่โดยเฉลี่ยอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม (ไม่รวมรองเท้า)มักปล่อยคาร์บอนฯสูงประมาณ1,700 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า/ปี หรือมีสัดส่วนประมาณ 6-8% ของการปล่อยคาร์บอนฯ ทั่วโลก(UNFCCC, 2018) ซึ่งมากกว่าการปล่อยจากอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางเรือรวมกัน (2-3%)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า จากข้อมูลล่าสุดในปี 2020 อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มมีอัตราการปล่อยคาร์บอนฯ อยู่ที่ 4% ซึ่งยังคงสูงกว่าอุตสาหกรรมการบินและการขนส่งทางเรือที่ 2% International Labour Organization (องค์การแรงงานระหว่างประเทศ) ได้เปรียบเทียบต่าง ๆ พบว่าการปล่อยคาร์บอนฯ และมลพิษส่วนใหญ่มาจากกระบวนการย้อมและการตกแต่ง ตามด้วยการเตรียมเส้นด้าย การผลิตเส้นใย และการผลิตผ้า ตามลำดับ โดยยังไม่รวมถึงการขนส่ง แต่คาดการณ์ว่ายังอยู่ในสัดส่วนที่ไม่ถึง 5%

“การคำนวนการปล่อยคาร์บอนฯ สำหรับอุตสาหกรรมแฟชั่นค่อนข้างยาก เพราะยังไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลมากนัก แต่ประเทศผู้ผลิตสิ่งทอหลักอย่างจีน อินเดีย และบังคลาเทศยังคงพึ่งพาถ่านหิน นอกจากนี้การย่อยสลายของขยะสิ่งทอในสถานที่ฝังกลบ หรือการเผาไหม้ต่างๆ ทำให้เกิดการปล่อยสารเคมีอันตรายและก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่สิ่งแวดล้อม”

มีความเชื่อว่าเสื้อผ้าจากที่มาจากเส้นใยสังเคราะห์มักทำร้ายธรรมชาติมากที่สุด โดยจากกราฟเสื้อ 1 ตัวที่มาจากฝ้ายกลับปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สูงที่สุด มาจากกระบวนการผลิตฝ้ายและการใช้ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง แต่ที่น่ากลัว แม้ว่า Polyester จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า แต่ย่อยสลายได้ยาก โดยใช้เวลาหลายร้อยปีจึงจะหมดไป ด้วยเหตุผลที่กล่าวมานี้ทั้งสองทางเลือกจึงเป็นทางเลือกที่น่าลำบากใจสำหรับทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค

ยังมีประเด็นชวนคิดอีกว่า การผลิตเสื้อใหม่ 1 ตัว มีปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่าการขับรถเบนซินใน 1 วัน (อัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของการขับรถ 20 กิโลเมตร = 1.92 กิโลกรัมคาร์บอนได ออกไซด์เทียบเท่า) จึงไม่น่าแปลกใจที่ ปัจจุบันตลาดเสื้อผ้ามือสองได้รับความนิยมและเติบโตขึ้น โดย ThredUp คาดการณ์ธุรกิจของเสื้อผ้ามือสองของโลกจะเติบโตสูงถึง 350 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2027

ความกังวลที่กล่าวมาอาจคลี่คลายลงได้ ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งมีการทำรีไซเคิลประกอบกับการผลิตฝ้ายแบบออร์แกนิก ทำให้ปล่อยคาร์บอนฯ น้อยกว่าเส้นใยแบบอื่นๆ และย่อยสลายได้ภายในหกเดือน เพราะผลิตโดยใช้เมล็ดพันธุ์ธรรมชาติ และไม่มีการใช้สารเคมีหรือสารป้องกันศัตรูพืชใดๆ อย่างไรก็ดีในสหภาพยุโรปพบว่า มีเพียงแค่ 1% ของสินค้าเครื่องนุ่งห่มที่ถูกนำกลับมารีไซเคิลเป็นเสื้อผ้าใหม่ ซึ่งเป็นหนทางอีกยาวไกลที่ต้องได้รับการสนับสนุน

ทุกปีทั่วโลกจะมีเสื้อผ้าถูกผลิตขึ้นมา 1 แสนล้านชิ้นทุกปี และมีถึง 92 ล้านตันที่ไปสิ้นสุดที่หลุมฝังกลบขยะ ส่วนหนึ่งมาจากการเจริญเติบโตของ Fast Fashion เนื่องด้วยเป็นการผลิตเสื้อผ้าที่ราคาถูก ออกแบบให้ตามสมัย เพื่อให้สามารถซื้อได้บ่อย ยิ่งทำให้เกิดการสูญเปล่าของทรัพยากรจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดขยะจากสิ่งทอที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเสื้อผ้าถูกทิ้งอย่างรวดเร็ว การผลิตเสื้อผ้าเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตั้งแต่ปี 2000 และยังไม่มีสัญญาณของการลดลง หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ปริมาณขยะจาก Fast Fashion คาดว่าจะพุ่งสูงถึง 134 ล้านตันต่อปี ภายในสิ้นทศวรรษนี้ซึ่งมากกว่าที่ทิ้งทั้งหมดต่อปีในตอนนี้

หนึ่งในประเทศที่กำลังแก้ปัญหาขยะสินค้าแฟชั่นคือ ฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อมีนาคม 2024 ได้มีมติผ่านร่างกฎหมายเพื่อควบคุมเสื้อผ้าจากอุตสาหกรรม Fast Fashion โดยระบุว่า รัฐบาลฝรั่งเศสจะเก็บค่าปรับกับผู้ผลิตฐานทำลายสิ่งแวดล้อม เป็นจำนวนเงิน 5 ยูโร ต่อเสื้อผ้า 1 ชิ้น และอาจจะปรับเพิ่มขึ้นเป็น 10 ยูโร ภายในปี 2030 โดยไม่ใช่แค่ฝั่งผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น เพราะยังห้ามการโฆษณาบนสื่อทุกประเภท

จากข้อมูลศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยอีกว่า ประเทศไทยการส่งออกในอุตสาหกรรมนี้มีมูลค่าเกือบ 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2022 และอยู่ใน 20 อันดับแรกผู้ส่งออกสูงสุดของโลก โดยมีปริมาณการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มประมาณ 2,800 ตันต่อปี คาดการณ์ว่าภาคอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยจะมีการปล่อยคาร์บอนฯที่ 4-8% ของการปล่อยคาร์บอนฯ ทั้งประเทศซึ่งใกล้เคียงกับเกณฑ์เฉลี่ยของโลก

อย่างไรก็ดี ประเด็นหลักของไทยคือข้อจำกัดของข้อมูลต่างๆ มิใช่อุตสาหกรรมนี้เท่านั้น โดยเริ่มต้นจากการจัดทำฐานข้อมูลโดยใช้ระบบ ISSB เพื่อจัดทำ Carbon Accounting ที่เป็นมาตรฐานตามแนวทางของอุตสาหกรรมอื่น ๆ แล้วจึงเริ่มดำเนินนโยบายต่างๆ เพื่อสนับสนุนภาคเอกชนได้แก่ การใช้มาตรการส่งเสริม 3Rs (Reduce Reuse Recycle)และเศรษฐกิจแบบ BCG สนับสนุนเงินหรือลดภาษีเพื่อสนับสนุนการผลิตเสื้อผ้าที่เป็นมิตรต่อเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลถึงการกระตุ้นการสร้างนวัตกรรมในอนาคต

การใช้กลไกภาษีเพื่อลดพฤติกรรม โดยอาจดำเนินการในทำนองกับประเทศฝรั่งเศส เก็บค่าปรับ 20-50บาทต่อชิ้นและอาจเพิ่มขึ้นตามความเหมาะสมในอนาคต ทั้งนี้ไม่ใช่แค่เพียงมาตรการจากภาครัฐ แต่ภาคเอกชนและผู้บริโภคต้องตระหนักรู้เพื่อเตรียมรับมือกับ Fast fashion และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสร้างโลกที่ยั่งยืนต่อไป

ขอบคุณข้อมูล: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย