สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงเรคยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. ว่า รัฐบาลไอซ์แลนด์ได้อนุมัติใบอนุญาตล่าวาฬฟิน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมในทะเลที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากวาฬสีน้ำเงิน จำนวน 128 ตัว ให้กับบริษัทล่าวาฬเพียงแห่งเดียวของประเทศ ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับใบอนุญาตดังกล่าว เนื่องจากไอซ์แลนด์, นอร์เวย์ และญี่ปุ่น เป็น 3 ประเทศในโลก ที่ยังอนุญาตให้มีการล่าวาฬเชิงพาณิชย์

เมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ฮวาลูร์ เอชเอฟ. กลุ่มล่าวาฬเพียงกลุ่มเดียวที่เหลืออยู่ในไอซ์แลนด์ ยื่นขอใบอนุญาตล่าวาฬต่ออีก 5 ปี หลังใบอนุญาตฉบับเดิมหมดอายุ ขณะที่บริษัทอื่นได้ล้มเลิกกิจการอย่างถาวรไปเมื่อปี 2563 เนื่องจากไม่ได้กำไร

รัฐบาลระบุในแถลงการณ์ว่า ใบอนุญาตใหม่จะใช้ได้ในฤดูล่าวาฬปีนี้ ที่อนุญาตให้ล่าวาฬฟินได้ 128 ตัว ซึ่งลดลงจากปีที่แล้ว ซึ่งอนุญาตให้ล่าได้ 161 ตัว “การตัดสินใจครั้งนี้ สอดคล้องกับคำแนะนำของสถาบันวิจัยทางทะเลและน้ำจืดประจำปี 2560 และปัจจัยทางระบบนิเวศแบบอนุรักษนิยม ของคณะกรรมาธิการการล่าวาฬระหว่างประเทศ” รัฐบาลกล่าวในแถลงการณ์ “สิ่งนี้อยู่บนพื้นฐานของแนวทางการป้องกันไว้ก่อน และให้ความสำคัญเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนมากขึ้น”

โดยทั่วไปการล่าวาฬในไอซ์แลนด์ จะเกิดขึ้นระหว่างกลางเดือน มิ.ย.-ก.ย. และด้วยใบอนุญาตนี้ จะสามารถล่าวาฬได้ 99 ตัว ในภูมิภาคกรีนแลนด์/ไอซ์แลนด์ตะวันตก และ 29 ตัวในภูมิภาคไอซ์แลนด์ตะวันออก/หมู่เกาะแฟโร หลังจากเมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ไอซ์แลนด์ได้ระงับการล่าวาฬเป็นเวลา 2 เดือน ตามผลการสอบสวนของรัฐบาล ที่พบว่ามีการวิธีไม่สอดคล้องกับสวัสดิภาพสัตว์ หลังมีการใช้ฉมวกระเบิดเพื่อจับวาฬ

จากการสำรวจของสถาบันมาสคินา เมื่อเดือน มิ.ย. ปีที่แล้ว ชาวไอซ์แลนด์ร้อยละ 51 ไม่เห็นด้วยกับการล่าวาฬ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 42 ที่เคยสำรวจเมื่อ 4 ปีก่อน โดยไอซ์แลนด์พึ่งพาการตกปลาและการล่าวาฬมานานหลายศตวรรษ แต่ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งรวมไปถึงการทัวร์ชมวาฬ เจริญรุ่งเรืองมากขึ้น

ขณะที่ญี่ปุ่น ซึ่งมีตลาดเนื้อวาฬที่ใหญ่ที่สุด กลับมาล่าวาฬเชิงพาณิชย์อีกครั้งเมื่อปี 2562 หลังจากหายไปนานถึง 3 ทศวรรษ จึงส่งผลให้ความต้องการนำเข้าเนื้อวาฬจากไอซ์แลนด์ ลดลงอย่างมาก.

เครดิตภาพ : AFP